โป๊ปสอน “เวลาชีวิตลำบาก อย่ามัวแต่โอดครวญจนลืมขอบคุณพระเจ้า อย่าให้ความชั่วร้ายมาบดบังความดี”

  • โป๊ป เลโอ ที่ 14 เตือนสติ เวลาเจอเรื่องร้ายๆในชีวิต อย่าให้การโอดครวญและตัดพ้อโชคชะตา มาแทนที่การขอบคุณพระเจ้า อย่าให้ความชั่วร้ายมาบดบังการมองเห็นความดีและการขอบคุณพระองค์ เพราะนี่คือวิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความหวังและไม่พ่ายแพ้ในชีวิต
  • ทรงสอน เราต้องปลดอาวุธในจิตใจ เราต้องถอดเสื้อเกราะความแตกแยกทางชาติพันธุ์และการเมืองออก เพื่อเปิดใจและมาพบปะพูดคุยกัน



ช่วงสายวันอังคารที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเยือนเลบานอน พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ทรงเริ่มพันธกิจด้วยการไปภาวนาให้ผู้สูญเสียจากเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่ท่าเรือกรุงเบรุต จากนั้น พระองค์ได้ถวายมิสซาใกล้ๆท่าเรือแห่งนี้ ซึ่งยังมีซากความาสูญเสียให้เห็นอยู่ 


ในส่วนของบทสรุปพันธกิจวันสุดท้ายในเลบานอน Pope Report เรียบเรียงมาให้ดังนี้


1. ภาวนาให้ผู้สูญเสียจากเหตุระเบิดท่าเรือ


ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและท้องฟ้าสีหม่น พระสันตะปาปาเสด็จไปยังท่าเรือกรุงเบรุต สถานที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมระเบิดครั้งใหญ่เมื่อค.ศ. 2020 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 200 ราย และทิ้งให้คนนับแสนไร้ที่อยู่อาศัย


ณ จุดที่พระสันตะปาปายืนภาวนา เบื้องหลังของพระองค์คือซากปรักหักพัง ส่วนเบื้องหน้าคือครอบครัวผู้สูญเสียที่ถือรูปถ่ายคนที่รัก พระสันตะปาปาทรงยืนสงบนิ่งเป็นเวลาหลายนาที โดยไม่มีคำปราศรัยใดๆ 


จากนั้น พระองค์ทรงจุดเทียนและก้มลงสัมผัสพวงหรีดกุหลาบแดงที่วางอยู่ที่ฐาน ก่อนยกมือขึ้นภาวนา การกระทำนี้ทรงพลังยิ่งกว่าคำพูดใดๆ ในการยืนยันว่าพระเจ้าไม่เคยลืมความเจ็บปวดของพวกเขา แม้ว่าในทางโลก ผู้กระทำผิดจะยังไม่ถูกลงโทษก็ตาม


2. อย่าให้ “การคร่ำครวญ” มาแทนที่ “การขอบคุณพระเจ้า”


จากนั้น พระสันตะปาปาเสด็จไปถวายมิสซาปิดท้าย ณ ริมฝั่งแม่น้ำเบรุต พระองค์เริ่มต้นบทเทศน์ด้วยการยอมรับความจริงที่โหดร้ายของเลบานอน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ การเมือง และความรุนแรง ซึ่งทำให้ความหวังเหือดแห้งไป


พระสันตะปาปาเน้นย้ำประเด็นสำคัญที่สุด เพื่อเตือนสติชาวเลบานอนที่กำลังท้อแท้ว่า

“คำสรรเสริญพระเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นในใจเราเสมอไป ในยามที่ชีวิตต้องดิ้นรน กังวลกับปัญหารอบตัว รู้สึกไร้ทางสู้เมื่อเจอความชั่วร้าย และถูกบีบคั้นจากสถานการณ์ยากลำบาก เรามักจะเลือกที่จะยอมจำนนและคร่ำครวญ มากกว่าที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจและขอบคุณพระเจ้า”


“เราต้องไม่ยอมให้ความชั่วร้ายมาบดบังความสามารถในการมองเห็นความดีงามและการขอบคุณพระเจ้า เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้จิตวิญญาณของเราไม่พ่ายแพ้” พระสันตะปาปาทรงสอน


3. พระเจ้าจะถูกรับรู้โดยผู้ต่ำต้อยที่รู้จักสังเกตเท่านั้น


พระสันตะปาปายังหยิบยกภาพลักษณ์ของ “กิ่งอ่อน” จากคำทำนายของประกาศกอิสยาห์มาสอนใจว่า “อาณาจักรของพระเจ้าคือกิ่งเล็กๆ ที่แตกออกจากตอ การเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ถูกประกาศในความเล็กน้อย เพราะพระองค์จะถูกรับรู้ได้โดยผู้ต่ำต้อยที่รู้จักสังเกตเท่านั้น”


“แม้ในยุคที่มืดมนที่สุดของเลบานอน ก็ยังมีแสงสว่างดวงเล็กๆส่องแสงอยู่ นั่นคือความเชื่อในครอบครัว โรงเรียน การทำงานของวัด และผู้คนที่ช่วยเหลือกัน สิ่งเหล่านี้คือกิ่งอ่อนที่กำลังเติบโตและจะเป็นอนาคตของชาติ


4. จงปลดอาวุธในจิตใจของเรา


ช่วงท้าย พระสันตะปาปาได้เสนอวิธีที่จะพาเลบานอนกลับสู่ความรุ่งโรจน์ นั่นคือการ “ปลดอาวุธในจิตใจ”


“ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตน การปลดอาวุธในจิตใจของเราเป็นหนทางเดียวที่จะทำสิ่งนี้ ให้เราถอดเกราะแห่งความแตกแยกทางชาติพันธุ์และการเมืองออก และเปิดใจสู่การพบปะกัน”


“นี่คือความฝันที่พระเจ้าวางไว้ในมือของท่าน ... เลบานอน จงลุกขึ้น! จงเป็นบ้านของความยุติธรรมและความเป็นพี่น้องกัน จงเป็นเครื่องหมายแห่งสันติภาพสำหรับทั่วทั้งตะวันออกกลาง” พระสันตะปาปา ตรัสในตอนท้าย


Source


- https://www.vatican.va/content/leo-xiv/en/homilies/2025/documents/20251202-messa-beirut.html 


Comments