โป๊ปภาวนาหน้าหลุมศพ “นักบุญชาร์เบล มาคลูฟ” นักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์ของเลบานอน
- โป๊ป เลโอ ที่ 14 สร้างประวัติศาสตร์ เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่เสด็จเยือนหลุมศพ “นักบุญชาร์เบล” นักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเลบานอน ท่ามกลางสายฝนและความศรัทธาของคริสตชนและมุสลิม
- ทรงยกย่องการดำเนินชีวิตนักบุญชาร์เบล มาคลูฟ “ท่านสอนผู้ที่อยู่กับเสียงอึกทึกให้รู้จักความเงียบ สอนผู้โอ้อวดให้ถ่อมตน และสอนผู้ไล่ล่าความร่ำรวยให้รู้จักความยากจน”
ช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ทรงเริ่มพันธกิจวันที่ 2 ในการเยือนเลบานอน (และวันที่ 4 ของทริปเยือนต่างประเทศครั้งแรกในสมณสมัย) ด้วยการเป็นผู้จาริกทางความเชื่อไปยังอารามนักบุญมารอน ในเมืองอันนายา เพื่อภาวนาหน้าหลุมศพของนักบุญชาร์เบล มาคลูฟ นักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์ของเลบานอน ซึ่งทั้งชาวคริสต์และชาวมุสลิมให้ความเคารพอย่างมาก
ทั้งนี้ Pope Report สรุปเหตุการณ์สำคัญพร้อมเรียบเรียงประวัตินักบุญท่านนี้มาให้ดังนี้
1. นักบุญชาร์เบล มาคลูฟ นักพรตผู้ทำอัศจรรย์แห่งเลบานอน
นักบุญชาร์เบล มาคลูฟ (ค.ศ.1828-1898) เป็นสงฆ์และนักพรตชาวเลบานอนในศาสนจักรแมโรไนท์ (คาทอลิกจารีตตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระสันตะปาปาแห่งกรุงโรม) ท่านใช้ชีวิตอย่างสันโดษในอารามเล็กๆ บนภูเขา ถือศีลเคร่งครัดและภาวนาตลอดเวลา
นักบุญชาร์เบล มาคลูฟ ไม่ได้เขียนหนังสือสักเล่ม และไม่ใช่นักเทศน์สอนที่โด่งดัง แต่หลังจากท่านเสียชีวิต ได้เกิดอัศจรรย์ขึ้นมากมาย ร่างกายของท่านไม่เน่าเปื่อย มีผู้ป่วยนับหมื่นรายทั้งคริสต์และมุสลิมหายจากโรคเมื่อมาขอพรที่หลุมศพของท่าน จนได้รับฉายาว่า “นักบุญแห่งการรักษา”
นักบุญชาร์เบล มาคลูฟ คือนักบุญองค์แรกของเลบานอนที่ได้รับการแต่งตั้งโดยพระสันตะปาปาแห่งกรุงโรม (พระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 แต่งตั้งท่านเป็นนักบุญในค.ศ.1977) และเป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพ เพราะชาวมุสลิมในเลบานอนก็นับถือท่านมากเช่นกัน
2. โป๊ปเลโอ ที่ 14 คือโป๊ปองค์แรกที่มาภาวนาหน้าหลุมศพนักบุญชาร์เบล
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 เสด็จมาถึงอารามในอันนายา และทรงคุกเข่าภาวนาอย่างเงียบๆ หน้าหลุมศพนักบุญชาร์เบล นับเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ทำเช่นนี้
พระสันตะปาปาตรัสสดุดีนักบุญชาร์เบลว่า “นักบุญชาร์เบลสอนอะไรเรา ... พระจิตเจ้าทรงหล่อหลอมท่าน เพื่อท่านจะได้สอนผู้ที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากพระเจ้าให้รู้จักภาวนา สอนผู้ที่ดำเนินชีวิตจมอยู่กับเสียงอึกทึกให้รู้จักความเงียบ สอนผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างโอ้อวดให้รู้จักความถ่อมตน และสอนผู้ที่ไล่ล่าความร่ำรวยให้รู้จักความยากจน แม้พฤติกรรมเหล่านี้จะสวนกระแสวัฒนธรรม แต่นั่นคือเหตุผลที่มันดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาท่านเหมือนน้ำในทะเลทราย”
3. ความเชื่อของเราคือสมอเรือในสวรรค์
ต่อมา พระสันตะปาปาเสด็จไปยัง สักการสถานแม่พระแห่งเลบานอน (ฮาริสซา) เพื่อพบปะกับบรรดาบิช็อป สงฆ์ และนักบวช โดยพระองค์ได้ให้กำลังใจศาสนจักรในเลบานอนที่ต้องแบกรับความทุกข์ยากจากวิกฤตเศรษฐกิจและสงคราม
พระสันตะปาปาใช้สัญลักษณ์ “สมอเรือ” (ซึ่งอยู่ในโลโก้การเยือน) มาเตือนใจว่า “ความเชื่อของเราคือสมอเรือในสวรรค์ ... หากเราปรารถนาจะสร้างสันติภาพ เราต้องทอดสมอตัวเราเองไว้กับสวรรค์ และตั้งมั่นในทิศทางนั้น”
จากนั้น พระสันตะปาปาได้มอบ “กุหลาบทองคำ” ให้แก่สักการสถานแม่พระแห่งเลบานอน ซึ่งเป็นของขวัญชั้นสูงที่สุดที่พระสันตะปาปามอบให้แก่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเปรียบเทียบว่า “กุหลาบนี้เตือนใจให้เราเป็น ‘กลิ่นหอมของพระคริสต์’ ... ซึ่งไม่ใช่สินค้าราคาแพงที่สงวนไว้สำหรับคนไม่กี่คน แต่เป็นกลิ่นหอมที่ลอยมาจากโต๊ะอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ที่ซึ่งทุกคนได้รับเชิญให้มาร่วมรับประทาน”
4. เสียงเรียกร้องเพื่อสันติภาพ
ตลอดทั้งวัน ถ้อยคำที่พระสันตะปาปาตรัสย้ำเสมอคือ “สันติภาพ” โดยเฉพาะในดินแดนที่บอบช้ำแห่งนี้
“เราขอสันติภาพ ... แต่เรารู้ดีว่าไม่มีสันติภาพหากปราศจากการกลับใจ” พระสันตะปาปายังยกย่องเรื่องราวของโรงเรียนคาทอลิกและงานอภิบาลในคุก ที่เปลี่ยนความเกลียดชังให้เป็นความรัก เปลี่ยนกำแพงให้เป็นความหวัง และสอนให้ผู้คนแบ่งปัน “ขนมปัง ความกลัว และความหวัง” ร่วมกันอีกด้วย
Sources:

Comments
Post a Comment