โป๊ปย้ำ คริสตชนเศร้าได้เมื่อคนรักสิ้นใจ แต่ไม่ใช่แบบคนไม่มีความหวัง เพราะสุสานไม่ใช่เมืองคนตาย แต่คือหอพักแห่งการกลับคืนชีพ
- โป๊ป เลโอ ที่ 14 ถวายมิสซาระลึกถึงดวงวิญญาณของ “โป๊ปฟรานซิส” รวมถึงบรรดาคาร์ดินัลและบิช็อปที่ล่วงลับในรอบปี
- ทรงชี้ การที่พระเยซูกลับคืนพระชีพ พระองค์สยบความตายและเปลี่ยนสถานะของมันจากศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว ให้กลายเป็นเพียงการพักผ่อนชั่วคราว
- ทรงย้ำ คริสตชนโศกเศร้าได้เมื่อคนที่เรารักสิ้นใจ แต่ไม่ใช่เศร้าโศกแบบคนไม่มีความหวัง เพราะ “สุสาน” (Cemetery) แปลตามตัวอักษรว่า “หอพัก” (Dormitory) นี่คือสถานที่รอการกลับคืนชีพ ไม่ใช่ “เมืองคนตาย” (Necropolis)
ช่วงสายวันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ทรงเป็นประธานในพิธีมิสซาเพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณของพระสันตะปาปา ฟรานซิส บรรดาคาร์ดินัลและบิช็อปที่ล่วงลับในรอบปีที่ผ่านมา มิสซานี้ จัดในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน
สำหรับใจความสำคัญของบทเทศน์ประจำมิสซา Pope Report เรียบเรียงมาให้ดังนี้
1. ภาวนาเพื่อโป๊ปฟรานซิส
มิสซานี้เป็นมิสซาระลึกถึงผู้ล่วงลับครั้งแรกในสมณสมัยของพระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 พระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงความสำคัญของวันนี้ว่า “วันนี้เรารื้อฟื้นธรรมเนียมอันงดงาม เราถวายมิสซานี้ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่เพื่อดวงวิญญาณผู้ที่ได้รับเลือกสรรอย่างพระสันตะปาปา ฟรานซิส ผู้ซึ่งล่วงลับไปหลังจากทรงเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์และประทานพรปัสกาแก่กรุงโรมและทั่วโลก”
“ในช่วงปีศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับพ่อ(ในฐานะพระสันตะปาปา) จึงมีความหมายพิเศษ มันคือความหมายแห่งความหวังของคริสตชน” พระสันตะปาปา ตรัสแบ่งปัน
2. ถ้าเจอความตายที่ไม่เป็นธรรม เราไม่อาจพูดว่า “ขอสรรเสริญพระองค์” (Laudato Si')
จากนั้น พระสันตะปาปายกเรื่องราวของศิษย์แห่งเอ็มมาอูส (ลูกา 24: 13-35) ว่าเป็นภาพที่ชัดเจนที่สุดของการจาริกแห่งความหวัง ซึ่งเป็นความหวังที่ต้องผ่านพ้นการพบกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์
“เรื่องของศิษย์ทั้งสองที่หมู่บ้านเอมมาอูสเป็นภาพสะท้อนของการเดินทางแห่งความหวัง ที่เริ่มจากความสิ้นหวังในความตาย และสิ้นสุดด้วยการพบพระคริสต์ผู้กลับคืนชีพ”
“สำหรับความตายที่โหดร้ายและไม่เป็นธรรม เราไม่อาจกล่าวคำว่า ‘ขอสรรเสริญพระองค์’ (Laudato Si') เพราะพระเจ้ามิได้ทรงประสงค์สิ่งนี้ พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มายังโลก เพื่อปลดปล่อยเราจากความตายนี้” พระสันตะปาปา ทรงย้ำ
3. พระเยซูเปลี่ยนความตายจาก “ศัตรู” เป็น “การพักผ่อน” เพื่อรอชีวิตนิรันดร
พระสันตะปาปาทรงชี้ว่า “ความรักของพระคริสต์ผู้ถูกตรึงกางเขนและกลับคืนพระชีพได้เปลี่ยนความตายของเรา พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนมันจากศัตรู พระองค์ทรงสยบมัน และเมื่อนั้นเอง เราจึงจะสามารถเข้าใจทัศนคติของนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี ผู้ซึ่งสามารถมองความตายในแง่บวก ว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านตามธรรมชาติเพื่อกลับไปหาพระเจ้าได้”
4. คริสตชนโศกเศร้าได้เมื่อคนรักสิ้นใจ แต่ไม่ใช่เศร้าแบบคนไม่มีความหวัง
พระสันตะปาปาทรงอธิบายต่อว่า ด้วยเหตุนี้ แม้คริสตชนจะยังคงเศร้าโศกเมื่อคนที่รักจากไป แต่เรา “อาจจะไม่เศร้าโศกเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง” (1 เธสโลนิกา 4:13)
“ด้วยเหตุนี้ คริสตชนจึงไม่เรียกสถานที่ฝังศพว่า ‘เนโครโปลิส’ (Necropolis) หรือ ‘เมืองแห่งคนตาย’ แต่เรียกว่า ‘สุสาน’ (Cemetery) ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า ‘หอพัก’ (Dormitory) เป็นสถานที่ที่คนเราพักผ่อนเพื่อรอคอยการกลับคืนชีพ” พระสันตะปาปา ทรงสอน
5. พระสันตะปาปา ฟรานซิส ประจักษ์พยานแห่งความหวังปัสกา
พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงผู้ล่วงลับว่า “พระสันตะปาปา ฟรานซิส ผู้เป็นที่รัก และพี่น้องคาร์ดินัลและบิช็อปซึ่งเราถวายบูชาขอบพระคุณเพื่อท่าน ได้ดำเนินชีวิต เป็นประจักษ์พยาน และสอนถึงความหวังใหม่แห่งปัสกานี้”
ช่วงท้าย พระสันตะปาปาทรงสรุปโดยอ้างอิงถึงหนังสือดาเนียลว่า “พวกเขาได้นำคนมากมายไปสู่ความชอบธรรม’ ... ขอให้วิญญาณของพวกเขาได้รับการชำระล้างจากทุกมลทินและขอให้พวกเขาได้ส่องสว่างดุจดวงดาวในสวรรค์ด้วย”
Source:

Comments
Post a Comment