สัมภาษณ์โป๊ปเลโอ (ตอน 6 - จบ): โป๊ปเลโอ ย้ำ สานต่อแนวทางโป๊ปฟรานซิสเรื่อง “บทบาทสตรีในศาสนจักร และต้อนรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน”
- โป๊ป เลโอ ที่ 14 ย้ำ จะสานต่อแนวทางโป๊ปฟรานซิสในเรื่อง “บทบาทสตรีในศาสนจักร และต้อนรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน”
- ทรงยืนยัน จะไม่อนุมัติเรื่องบวชสตรีเป็นสังฆานุกร เพราะแค่เรื่องพื้นฐานอย่าง “สังฆานุกรชายแบบถาวร” และ “การแก้ปัญหาแสวงหาสิทธิพิเศษจากการเป็นสงฆ์ (Clericalism)” เรายังแก้กันไม่ได้เลย
- ทรงย้ำ ศาสนจักรต้องส่งเสริมครอบครัวแบบดั้งเดิมที่มี “พ่อ-แม่-ลูก” ให้เข้มแข็ง จริงอยู่ที่เราต้อนรับ เคารพ และอวยพรคนทุกเพศ แต่เรามี “พิธีกรรม” ที่อวยพรได้เฉพาะการแต่งงานระหว่างชายและหญิงเท่านั้น
- ทรงยอมรับ น่าเศร้าที่ “มิสซาลาติน” กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนบางกลุ่มจนเกิดความแตกแยกรุนแรงในศาสนจักร แต่ก็เข้าใจได้ เพราะส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้ถวายมิสซาบางคน “ทำสิ่งไม่สมควรในมิสซารูปแบบใหม่” ทำให้บางคนหันกลับไปหามิสซาลาตินแบบดั้งเดิม
มาต่อกันตอน 6 กับบทสัมภาษณ์พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ที่ให้สัมภาษณ์กับ เอลิซ แอนน์ อัลเลน นักข่าวสายวาติกันของ “ครักซ์” (Crux) และนี่คือบทสรุปของตอนที่ 6 ตอนจบของบทสัมภาษณ์
1. สานต่อนโยบายโป๊ปฟรานซิสเรื่อง “บทบาทสตรีในศาสนจักร” แต่จะไม่อนุมัติ “บวชสตรีเป็นสังฆานุกร”
ต่อคำถามหนักๆเรื่อง “บทบาทของสตรีในศาสนจักร” พระสันตะปาปาเลโอ ยืนยันว่าจะสานต่อนโยบายของพระสันตะปาปา ฟรานซิส ในการส่งเสริมและแต่งตั้งสตรีให้ดำรงตำแหน่งผู้นำในระดับต่างๆ ของศาสนจักรต่อไป
สำหรับประเด็น “การบวชสังฆานุกรสตรี” พระสันตะปาปาเลโอ ย้ำว่า พระองค์จะไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงคำสอนของศาสนจักรในหัวข้อนี้ (ยังไม่ให้สตรีบวชเป็นสังฆานุกร)
พระสันตะปาปาชาวอเมริกันบอกว่า ก่อนจะไปเรื่องบวชสตรีเป็นสังฆานุกร ศาสนจักรคาทอลิกต้องตอบคำถามสำคัญ 2 ข้อ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานทั่วไปให้ได้ก่อน มันคือ
หนึ่ง “ทำไมตำแหน่งสังฆานุกรชายแบบถาวร (Permanent Deacon) จึงยังไม่เป็นที่เข้าใจและได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสมทั่วทั้งศาสนจักร เพราะจากปีศักดิ์สิทธิ์เพื่อสังฆานุกรถาวร พ่อได้คุยกับสังฆานุกรหลายคน และพบปัญหาคือในหลายพื้นที่ทั่วโลกยังไม่มีการส่งเสริมและทำความเข้าใจกับคริสตชนถึงตำแหน่งนี้แบบจริงๆจังๆ ตำแหน่งนี้หลายคนยังเข้าใจแบบผิดๆ และไม่ได้รับการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเลย”
สอง “การบวชสตรีเป็นสังฆานุกร จะเป็นเพียงการเชิญชวนให้พวกเธอเข้ามาสู่ปัญหาการแสวงหาสิทธิพิเศษจากการเป็นสงฆ์ (Clericalism) โดยทีศาสนจักรยังไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาใช่หรือไม่”
อย่างไรก็ตาม พระสันตะปาปายืนยันว่า พระองค์เต็มใจที่จะรับฟังทุกคน และจะติดตามการศึกษาในประเด็นนี้ซึ่งกำลังดำเนินอยู่โดยกลุ่มศึกษาและสมณกระทรวงเพื่อหลักความเชื่อต่อไป
2. สานต่อแนวทางโป๊ปฟรานซิส เรื่องศาสนจักรต้อนรับทุกคนไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหน
สำหรับเรื่อง LGBTQ+ (กลุ่มความหลากหลายทางเพศ) พระสันตะปาปาเลโอ ก็ยืนยันอีกเช่นกันว่า จะสานต่อแนวทางของพระสันตะปาปา ฟรานซิส
“พ่อยังจำคำพูดของคาร์ดินัลท่านหนึ่งจากโลกตะวันออก (เอเชีย) ที่กล่าวว่า ‘โลกตะวันตกหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเพศ’ สำหรับบางคน อัตลักษณ์ทางเพศได้กลายเป็นทั้งหมดของตัวตน ในขณะที่คนในอีกหลายส่วนของโลก นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักในการปฏิบัติต่อกัน ข้อสังเกตนี้ยังคงอยู่ในใจของพ่อเสมอ เพราะเราได้เห็นในการประชุมสมัชชา (Synodality) ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ สร้างความแตกแยกแบบสุดๆในศาสนจักร ดังนั้น แนวทางของพ่อในฐานะพระสันตะปาปาคือการพยายามสุดความสามารถที่จะไม่สร้างหรือส่งเสริมความแตกแยกในศาสนจักรให้มากไปกว่านี้”
“สิ่งที่พ่ออยากจะบอกก็คือสิ่งที่พระสันตะปาปา ฟรานซิส ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า ‘Todos, Todos, Todos - ทุกคนได้รับเชิญให้เข้ามา’ แต่พ่อไม่ได้เชิญใครเข้ามาเพราะอัตลักษณ์เฉพาะของเขา แต่พ่อเชิญเขาเข้ามาเพราะเขาเป็นลูกของพระเจ้า พวกท่านทุกคนได้รับการต้อนรับ เพื่อที่เราจะได้ทำความรู้จักและเคารพซึ่งกันและกัน
พ่อเข้าใจดีว่าบางคนต้องการให้คำสอนของศาสนจักรเปลี่ยนแปลง แต่พ่อคิดว่า เราต้องเปลี่ยนทัศนคติก่อนที่เราจะคิดถึงการเปลี่ยนแปลงคำสอน และในอนาคตอันใกล้ๆ พ่อเห็นว่ามันเป็นไปได้น้อยมากๆ ที่คำสอนของศาสนจักรเกี่ยวกับเรื่องเพศและการแต่งงานจะเปลี่ยนแปลงไป”
3. ย้ำชัด “คำสอนเรื่องการแต่งงานและครอบครัวของศาสนจักรคาทอลิกจะไม่เปลี่ยนแปลง”
ส่วนเรื่องการแต่งงาน พระสันตะปาปาเลโอ บอกว่า “พ่อขอย้ำตามแนวทางของพระสันตะปาปา ฟรานซิส ว่า ‘ครอบครัวตั้งอยู่บนพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ระหว่างชายและหญิงในศีลสมรส’ แม้พ่อจะรู้ดีว่าบางคนยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ และมีความพยายามในบางพื้นที่ที่จะสร้างพิธีกรรมเพื่ออวยพร ‘ผู้คนที่รักกัน’ ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับเอกสาร Fiducia Supplicans เอกสารนั้นได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า แม้เราจะสามารถอวยพรทุกคนได้เสมอ แต่เราไม่สามารถสร้าง ‘พิธีกรรม’ เพื่ออวยพรความสัมพันธ์ที่ไม่ได้สอดคล้องกับคำสอนของศาสนจักรได้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นเป็นคนไม่ดี ในทางตรงกันข้าม เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและเคารพผู้คนที่แตกต่างจากเรา”
“พ่อเข้าใจดีว่านี่เป็นหัวข้อที่ร้อนแรง และมีเสียงเรียกร้องให้ศาสนจักรยอมรับ ‘การแต่งงานของคนเพศเดียวกัน’ หรือ ‘การยอมรับคนข้ามเพศ’ อย่างเป็นทางการ แต่เราต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่าแต่ละบุคคลได้รับการยอมรับและต้อนรับเสมอ ตัวอย่างเช่น ศีลอภัยบาปที่สงฆ์ได้รับฟังเรื่องราวจากคนทุกประเภท ทุกสถานะชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน พ่อคิดว่าคำสอนของศาสนจักรในเรื่องนี้จะยังคงเป็นเช่นที่เป็นอยู่”
“ยิ่งไปกว่านั้น เราจำเป็นต้องกลับมาสนับสนุนและเสริมสร้าง ‘ครอบครัวแบบดั้งเดิม’ ที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกๆ ให้แข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง พ่ออดสงสัยไม่ได้ว่าปัญหาความแตกแยกและการที่ผู้คนปฏิบัติต่อกันอย่างเลวร้ายในสังคมนั้น มีรากเหง้ามาจากการที่ผู้คนไม่ได้เติบโตมาในบริบทของครอบครัวหรือไม่ เพราะครอบครัวคือสถานที่แรกที่คุณได้เรียนรู้ว่าจะรักกันอย่างไร จะอยู่ร่วมกันอย่างไร จะอดทนต่อกันและกันอย่างไร หากเราสูญเสียหน่วยโครงสร้างพื้นฐานนี้ไป การเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ในวิธีอื่นก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
“ท้ายสุด พ่อเชื่อว่าพ่อเป็นอย่างที่ตัวเองเป็นในทุกวันนี้ ก็เพราะพ่อมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมกับคุณพ่อและคุณแม่ของพ่อ พวกท่านมีชีวิตสมรสที่มีความสุขมากว่า 40 ปี และสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของเราก็ยังคงแน่นแฟ้น แม้จะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันสุดขั้ว ในประสบการณ์ของพ่อ นี่คือปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อตัวตนของพ่อ และเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อสามารถเป็นอย่างที่พ่อเป็นอยู่ในขณะนี้ได้”
4. สภาบิช็อปคาทอลิกมีเพื่อสร้างแนวทางการทำงานร่วมกัน ไม่ใช่ให้อำนาจสอนต่างกัน
ในการประชุมสมัชชาครั้งล่าสุด พระสันตะปาปา ฟรานซิส ได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องสภาบิช็อปคาทอลิก เพื่อหาคำตอบว่า “แท้จริงแล้ว สภาบิช็อปมีอำนาจที่แท้จริงได้มากเพียงใด”
พระสันตะปาปาเลโอ อธิบายเรื่องทั้งสองว่า “พระสันตะปาปา ฟรานซิส มองว่า สภาบิช็อปจะมีประโยชน์ในการสร้างแนวทางอภิบาลร่วมกันในระดับภูมิภาค เพื่อไม่ให้บิช็อปแต่ละแห่งสอนแตกต่างกัน ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในการประชุมสมัชชาคือ ‘สภาบิช็อปควรจะมีอำนาจทางหลักคำสอนหรือไม่’เพราะสภาบิช็อปคาทอลิกในบางภูมิภาค (เช่น ยุโรปตอนเหนือ) อาจจะใช้ช่องทางนี้ในการเปลี่ยนแปลงคำสอนของศาสนจักรในประเด็นอ่อนไหว เช่น การหย่าร้าง ความสัมพันธ์ของคนรักร่วมเพศ หรือการมีภรรยาหลายคน”
5. โป๊ปยอมรับ น่าเศร้าที่ “มิสซาลาตินกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนบางกลุ่ม”
เช่นเดียวกัน ในการประชุมสมัชชาครั้งล่าสุด พระสันตะปาปา ฟรานซิส ให้ตั้งกลุ่มเพื่อศึกษาเรื่องพิธีกรรม พระสันตะปาปาเลโอ อธิบายเรื่องนี้ว่า “เป้าหมายหลักของกลุ่มศึกษาเรื่องพิธีกรรมคือการปรับพิธีกรรมให้เข้ากับวัฒนธรรม (Inculturation) เพื่อค้นหาหนทางที่จะทำให้พิธีกรรมสามารถสื่อความหมายที่ลึกซึ้งและเข้าถึงหัวใจของผู้คนในแต่ละวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง”
อย่างไรก็ดี พระสันตะปาปายอมรับว่ามีอีกประเด็นที่ซับซ้อนและสร้างความเจ็บปวด นั่นคือ ความขัดแย้งเรื่องพิธีกรรมที่ผู้คนมักเรียกว่า "มิสซาลาติน" พระองค์ชี้แจงว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การใช้ภาษาลาติน ซึ่งสามารถทำได้ในมิสซาตามแบบสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง แต่เป็นความขัดแย้งที่ฝังลึกระหว่างมิสซาลาตินแบบดั้งเดิม (Tridentine Mass) และมิสซาของพระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด”
“สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับพ่อคือการที่ประเด็นซึ่งควรเป็นเรื่องของการภาวนาและการนมัสการ กลับถูกบิดเบือนจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง บางคนใช้พิธีกรรมเป็นข้ออ้างในการผลักดันวาระอื่นๆ จนก่อให้เกิดความแตกแยกที่รุนแรง ขณะเดียวกัน พ่อก็อดคิดไม่ได้ว่า บางครั้ง ‘การละเมิด’ ในการถวายมิสซาตามแบบใหม่ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักผู้ที่แสวงหาการสัมผัสธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ ให้หันไปหาความงดงามในพิธีกรรมแบบดั้งเดิมก็ได้”
“และผลลัพธ์ที่น่าเศร้าคือ เราได้กลายเป็นสังคมที่แตกแยกจนต่างฝ่ายต่าง ‘ไม่เต็มใจที่จะรับฟังซึ่งกันและกัน’ พ่อเคยได้ยินบิช็อปหลายคนเล่าให้ฟังว่า เมื่อพยายามเชิญกลุ่มผู้สนับสนุนพิธีกรรมดั้งเดิมมาพูดคุย พวกเขากลับไม่ยอมแม้แต่จะรับฟัง หรือไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”
“สภาวะเช่นนี้คือปัญหาที่แท้จริง เพราะมันบ่งบอกว่า เราได้เข้าไปอยู่ในอุดมการณ์ (การต่อสู้ทางความคิด) เราไม่ได้อยู่ในประสบการณ์ของความสนิทสัมพันธ์ในศาสนจักรอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ พ่อจึงเชื่อว่าหนทางเดียวที่จะเยียวยาได้คือการกลับสู่จิตตารมณ์แห่งการเป็นสมัชชา นั่นคือ เราต้องมานั่งลงและพูดคุยกัน ซึ่งนี่คือหนึ่งในภารกิจสำคัญที่อยู่ในวาระของพ่อ”
Source:

Comments
Post a Comment