โป๊ปชี้ การเบียดเบียนคริสตชนยังไม่สิ้นสุด และบางพื้นที่ของโลก มันกลับรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ
- โป๊ป เลโอ ที่ 14 ทรงชี้ แม้ยุคเผด็จการจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่การเบียดเบียนคริสตชนยังไม่สิ้นสุด และบางพื้นที่ของโลก มันกลับรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ
- ทรงยกย่องมรณสักขีในศตวรรษที่ 21 ที่สละชีวิตเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงพระเยซู ทุกคนแสดงให้เห็นถึง “ความหวังที่ปราศจากอาวุธ” และ “ความรักแข็งแกร่งกว่าความตาย”
- ทรงย้ำ โลหิตของมรณสักขีคือเมล็ดพันธุ์ที่ก่อให้เกิดคริสตชนใหม่อย่างแท้จริง
ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา โอกาสวันฉลองเทิดทูนไม้กางเขน พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ทรงเป็นประธานในพิธีรำลึกถึงมรณสักขีและประจักษ์พยานแห่งความเชื่อในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจัดในมหาวิหารนักบุญเปาโล นอกกำแพงกรุงโรม โดยมีผู้แทนจากศาสนจักรออร์โธด็อกซ์และกลุ่มคริสตชนนิกายต่างๆ มาร่วมพิธี
สำหรับใจความสำคัญของบทเทศน์ในพิธี Pope Report สรุปให้ดังนี้
1. มรณสักขีในศตวรรษที่ 21 กับความหวังที่ปราศจากอาวุธ
พระสันตะปาปาเริ่มต้นด้วยการเชื่อมโยงไม้กางเขนเข้ากับชีวิตของมรณสักขี โดยชี้ว่าประจักษ์พยานของพวกเขานั้นเป็น “ความหวังที่ปราศจากอาวุธ”
“พวกเขาเป็นประจักษ์พยานถึงความเชื่อของตนโดยไม่เคยใช้อาวุธแห่งกำลังและความรุนแรง แต่โดยการโอบกอดพลังที่ซ่อนอยู่และอ่อนโยนของพระวรสาร ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยคำของนักบุญเปาโลที่กล่าวว่า ‘เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็แข็งแกร่ง’ (2 โครินธ์ 12:9-10)”
พระสันตะปาปาทรงยกตัวอย่างที่จับต้องได้ นั่นคือ “ซิสเตอร์โดโรธี สแตง” ซิสเตอร์ชาวอเมริกันที่ถูกกลุ่มนายทุนฟาร์มปศุสัตว์ว่าจ้างคนยิง เพียงเพราะซิสเตอร์เป็นกระบอกเสียงขัดขวางการบุกรุกป่าแอมะซอนอย่างผิดกฏหมาย ตอนที่คนร้ายจะยิงซิสเตอร์ พวกเขาถามซิสเตอร์ว่ามีอาวุธหรือไม่ ซิสเตอร์สแตง ยื่นพระคัมภีร์ให้พวกคนร้ายและตอบกลับไปว่า “นี่คืออาวุธเพียงอย่างเดียวของฉัน”
2. การเบียดเบียนคริสตชนยังไม่สิ้นสุดลง
พระสันตะปาปาย้ำเตือนอย่างหนักแน่นว่า แม้เราจะผ่านยุคเผด็จการที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 มาแล้ว แต่การเบียดเบียนยังคงเป็นความจริงที่โหดร้ายในปัจจุบัน
“น่าเสียดายที่ แม้จะสิ้นสุดยุคเผด็จการที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบไปแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้การเบียดเบียนคริสตชนก็ยังไม่สิ้นสุดลง ตรงกันข้าม ในบางส่วนของโลกมันกลับเพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนคือคุณพ่อรากี้ด กันนี (Ragheed Ganni) สงฆ์คัลเดียนในอิรัก และ ภราดาฟรานซิส โตฟี่ (Francis Tofi) ชาวแองกลิกันในหมู่เกาะโซโลมอน ผู้ซึ่งสละชีวิตของตนเพื่อสันติภาพ” พระสันตะปาปา ตรัสแบ่งปัน
3. ความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดจากโลหิตของมรณสักขี เป็นหนทางที่แท้จริงสู่ความเป็นหนึ่งเดียว
ประเด็นสำคัญที่สุดที่พระสันตะปาปาทรงเน้นย้ำคือมิติของความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชน ซึ่งเกิดจากการเป็นมรณสักขีร่วมกัน
พระสันตะปาปาตรัสว่า “ความเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดจากโลหิตของมรณสักขี (Ecumenism of Blood) ได้รวมคริสตชนจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน แต่ได้ร่วมกันสละชีวิตของตนเพื่อความเชื่อในพระเยซูคริสต์ การประจักษ์พยานแห่งการเป็นมรณสักขีของพวกเขานั้นคมคายกว่าถ้อยคำใดๆ มันคือความเป็นหนึ่งเดียวกันมาจากไม้กางเขนของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ศาสนจักรคาทอลิกมุ่งมั่นที่จะปกป้องความทรงจำของการเป็นประจักษ์พยานจากคริสตชนทุกนิกาย ผ่านทางคณะกรรมาธิการมรณสักขีใหม่”
4) โลหิตของมรณสักขีคือเมล็ดพันธุ์ของคริสตชนใหม่
ตอนท้าย พระสันตะปาปาทรงอ้างอิงข้อเขียนของแทร์ทูเลี่ยน (แตร์ตูลีอาโน่) นักเขียนคริสตชนยุคแรกที่บอกว่า ‘เราทำเช่นนั้น ด้วยความมั่นใจว่า ในหลายศตวรรษแรกและในสหัสวรรษที่สามนี้เช่นกัน โลหิตของมรณสักขีคือเมล็ดพันธุ์ของคริสตชนใหม่’”
พระสันตะปาปาทรงปิดท้ายด้วยการเล่าเรื่องราวที่น่าประทับใจของ อาบิช มาซิห์ เด็กชาวปากีสถานผู้ถูกสังหารในการโจมตีวัดคาทอลิก ซึ่งเคยเขียนความฝันของเขาไว้ในสมุดว่า “การทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีขึ้น พ่อขอให้ความฝันของเด็กคนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคน”
Source:
- https://www.vatican.va/content/leo-xiv/en/homilies/2025/documents/20250914-omelia-martiri.html

Comments
Post a Comment