สัมภาษณ์โป๊ปเลโอ (ตอน 2): พ่อไม่อนุญาตให้สร้าง “พระสันตะปาปา AI” หรือ “พระสันตะปาปาแบบอวตาร”
- โป๊ปเลโอ เผย พระองค์ปฏิเสธคำขอสร้าง “พระสันตะปาปา AI” (Artificial Intelliegence Pope) และ “พระสันตะปาปาแบบอวตาร” (Avartar) ที่จะให้มาตอบคำถามแทนพระองค์ เพราะหากจะมีใครที่ไม่ควรถูกแทนที่ด้วย AI หรืออวตาร พระสันตะปาปาควรเป็นหนึ่งในนั้น
- ทรงย้ำ ศาสนจักรไม่ได้ต่อต้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยดูได้จากโป๊ปฟรานซิส ยังไปร่วมการประชุมเรื่อง AI ของกลุ่ม G7 แต่ศาสนจักรจำเป็นต้องเป็น “กระบอกเสียง” ให้มนุษย์ เราต้องปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นคน เพราะโลกดิจิทัลไม่ใช่ที่สุดของทุกอย่าง
- ทรงยืนยัน จะสานต่องานของโป๊ปฟรานซิส โดยเฉพาะเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชน เพราะการที่คริสตชนแตกแยกกันคือ “หนึ่งในบาดแผลที่ลึกที่สุด” ของศาสนจักร
มาต่อกันตอน 2 กับบทสัมภาษณ์พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ที่ให้สัมภาษณ์กับ เอลิซ แอนน์ อัลเลน นักข่าวสายวาติกันของ “ครักซ์” (Crux)
Pope Report จะเรียบเรียงทั้งหมด 6 ตอน และนี่คือบทสรุปของตอนที่ 2
1. จะสานต่องานโป๊ปฟรานซิส ในเรื่องการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชน
พระสันตะปาปายืนยันว่า ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชน เป็น “เรื่องสำคัญอันดับแรก” โดยชี้ว่าการที่คริสตชนแตกแยกกันคือ “หนึ่งในบาดแผลที่ลึกที่สุด” ของศาสนจักรในปัจจุบัน
พระองค์บอกว่า เดือนพฤศจิกายนนี้ จะเดินทางเยือน “นิเชยา” (Nicea) เพื่อฉลองครบรอบ 1,700 ปีของสังคายนาแห่งนิเชยา ซึ่งแต่เดิม พระสันตะปาปา ฟรานซิส วางแผนจะไปร่วมงาน แต่ต้องเลื่อนออกไป 2 ครั้งเพราะพระองค์ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ พระสันตะปาปา เลโอ จึงตั้งใจว่าจะใช้โอกาสที่ได้พบกับผู้นำศาสนจักรออโธด็อกซ์ เพื่อทำให้ผู้นำคริสตชนทุกนิกายได้กลับมาร่วมประกาศยืนยันความเชื่อร่วมกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม พระสันตะปาปายอมรับถึงความยากลำบากในการสร้างสะพานกับศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ โดยเฉพาะกับรัสเซีย เพราะผลจากสงครามทำให้เกิดความแตกแยกที่ขยายวงกว้างขึ้น แทนที่จะแคบลง กระนั้นก็ดี ด้วยบทบาทของบิช็อปแห่งกรุงโรมคือการพยายามนำผู้คนมารวมกัน พระสันตะปาปาจากคณะออกัสติเนี่ยนจึงตั้งใจจะทำเช่นนั้นให้ได้
ส่วนความฝันของคริสตชนทุกนิกายคือ “การหาวันฉลองปาสกาที่ตรงกัน” พระสันตะปาปาบอกว่า นี่เป็นเรื่องซับซ้อนมาก แต่ก็ยืนยันว่า “พวกเรากำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ พวกเรากำลังดำเนินการอยู่”
2. ความสัมพันธ์กับชาวยิว ชาวมุสลิม และชาวพุทธ
พระสันตะปาปาเลโอเปิดเผยว่า ความสัมพันธ์กับชุมชนชาวยิว “ดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว” โดยย้ำว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่าง “สิ่งที่รัฐบาลอิสราเอลทำ” กับ “ชุมชนชาวยิว” ในภาพรวม
สำหรับ ศาสนาอิสลาม พระองค์ยอมรับว่ามีความซับซ้อนเพราะมีหลายกลุ่ม แต่ยืนยันที่จะสานต่องานของพระสันตะปาปา ฟรานซิส ในการส่งเสริมการเสวนาเพื่อสันติภาพของโลก
พระสันตะปาปาชาวอเมริกัน ยังกล่าวถึงการพบปะกับกลุ่มชาวพุทธว่าเต็มไปด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม พันธกิจหลักของบิช็อปแห่งกรุงโรมคือการช่วยให้คริสตชนเข้าใจว่า “ตัวตนของเราเป็นอย่างไร เพราะพ่อไม่กลัวที่จะประกาศว่า พ่อเชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่การประกาศความเชื่อไม่ได้หมายความว่า พ่อไม่เคารพ หรือดูหมิ่น หรือตั้งสงครามครูเสดกับผู้คนจากศาสนาอื่น”
3. ศาสนจักรไม่ได้ต่อต้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
พระสันตะปาปาแสดงความกังวลต่อการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI โดยชี้ว่าอันตรายที่แท้จริงคือการที่เราละสายตาจากคุณค่าของมนุษยชาติ และคิดว่าโลกดิจิทัลคือที่สุดของทุกสิ่ง ด้วยเหตุนี้ ศาสนจักรต้องเปล่งเสียงในเรื่องนี้ เพราะความหมายของชีวิตมนุษย์มาจากการพบปะและความสัมพันธ์ ไม่ใช่จาก AI
พระสันตะปาปายังเตือนว่า “ศักดิ์ศรีของมนุษย์มีความสัมพันธ์ที่สำคัญอย่างยิ่งกับงานที่เราทำ” และคุณค่าของการทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพและการเคารพตนเองกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาสนจักรจำเป็นต้องหยิบยกขึ้นมา
นอกจากนี้ พระองค์ย้ำว่า “ศาสนจักรไม่ได้ต่อต้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” โดยทรงอ้างอิงถึงการที่พระสันตะปาปา ฟรานซิส ได้รับเชิญไปร่วมประชุม G7 เพื่อหารือเรื่องนี้ แต่หากความสัมพันธ์ระหว่าง “วิทยาศาสตร์และความเชื่อ” หรือ “เหตุผลและความเชื่อ” สูญสิ้นไป วิทยาศาสตร์จะกลายเป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่าและเย็นชา ซึ่งจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวง และหัวใจของมนุษย์จะสูญหายไป ท่ามกลางการพัฒนาทางเทคโนโลยี
4. ไม่อนุญาตให้สร้าง “พระสันตะปาปา AI” หรือ “พระสันตะปาปาแบบอวตาร”
ต่อประเด็นเรื่อง Deep Fake (การใช้ AI สร้างเป็นวิดีโอหรือเสียงของคนๆหนึ่ง ทั้งที่คนนั้นไม่ได้ทำจริงๆ) พระสันตะปาปาแสดงความกังวลอย่างมาก รวมทั้งเรื่องข่าวปลอม
พระสันตะปาปาบอกว่า “ความจริงคือความจริง” จะมาปั้นเรื่องว่า “สิ่งที่ไม่จริงนี้ อาจเป็นอีกคำตอบของความจริง มันเป็นไปไม่ได้” พระองค์แชร์ ประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยมีคนสร้างวิดีโอปลอมที่สมจริงมากๆ เป็นเหตุการณ์พระองค์ตกบันไดด้วย
ด้วยเหตุนี้ พระสันตะปาปาเลโอ จึงเปิดเผยว่า พระองค์ปฏิเสธคำขออนุญาตสร้าง “พระสันตะปาปา AI” (Artificial Intelliegence Pope) หรืออวตาร (Avartar) ที่จะให้การเข้าเฝ้าและตอบคำถามแทนพระองค์ โดยชี้ว่าหากจะมีใครที่ไม่ควรถูกแทนที่ด้วยอวตาร พระสันตะปาปาย่อมอยู่ในอันดับต้นๆ
5. การได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาในปีศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโยงกับวาระสุดท้ายของโป๊ปฟรานซิสอย่างลึกซึ้ง
พระสันตะปาปาเลโอ เผยว่า การเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่สองในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกในระหว่างปีศักดิ์สิทธิ์ องค์สุดท้ายคือพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 12 ที่ได้รับเลือกในปีค.ศ.1700 มีความหมายสำคัญต่อพระองค์มากๆ
มันคือความหมายเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับประสบการณ์ในช่วงวันสุดท้ายของพระสันตะปาปา ฟรานซิส ซึ่งสะท้อนถึง “ธรรมล้ำลึกปาสกา” กล่าวคือชีวิต ความตาย และชีวิตใหม่
พระสันตะปาปาเลโอ มองว่า การได้รับเลือกของพระองค์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของการจาริกแสวงบุญแห่งความตายและชีวิตใหม่เช่นกัน โดยเป็นการละทิ้งทุกสิ่งที่เคยเป็นและเคยมีในอดีต เพื่อมารับศาสนบริการใหม่นี้
แน่นอนว่า การได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาเป็นหน้าที่ที่หนักมากๆ แต่พระสันตะปาปาเลโอ ยืนยันว่า “พ่อนอนหลับได้ดี และรู้สึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า และที่ขาดไม่ได้ รู้สึกได้เลยว่า พระจิตอยู่กับพ่อ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของพ่อ แต่มาจากพระเจ้าที่ทำทุกอย่างให้เกิดขึ้น”
Source:
Comments
Post a Comment