สัมภาษณ์โป๊ปเลโอ (ตอน 1): การประชุมสมัชชา (Synodality) ไม่ใช่การลดอำนาจของบิช็อปหรือสงฆ์ แต่เป็นการทบทวนความหมายแท้จริงของอำนาจในศาสนจักร
พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 เพิ่งให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในฐานะพระสันตะปาปา โดยพระองค์ให้สัมภาษณ์กับ เอลิซ แอนน์ อัลเลน นักข่าวสายวาติกันของ “ครักซ์” (Crux)
แล้ว “เอลิซ แอนน์ อัลเลน” คือใคร ทำไมพระสันตะปาปาถึงให้สัมภาษณ์กับเธอคนนี้
หากยังจำซีรี่ส์เรื่องยาวที่ Pope Report นำเสนอไปที่ชื่อ “ก่อนจะมาเป็นโป๊ป เลโอ ที่ 14 (ตอน 9): โป๊ปฟรานซิส ยุบกลุ่ม SCV ก่อนสิ้นพระชนม์ 7 วัน โดยคาร์ดินัลเพรโวสท์ เป็นคนเดินเรื่องทั้งหมด”
เอลิซ แอนน์ อัลเลน คือนักข่าวที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ เปาล่า อูกาซ นักข่าวคาทอลิกอิสระชาวเปรู และ เปโดร ซาลินาส ผู้รอดชีวิตจากการล่วงละเมิดของกลุ่ม “โซดาลิติอุม คริสตีอาเน วิเต” (Sodalitium Christianae Vita) ได้เข้าพบพระสันตะปาปา ฟรานซิส โดยผ่านการประสานงานทุกอย่างจาก คาร์ดินัล โรเบิร์ต เพรโวสท์ หรือพระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 นั่นเอง
เมื่อเห็นความเชื่อมโยงและสนิทกันแล้ว จึงไม่แปลกที่พระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 จะให้สัมภาษณ์กับ อัลเลน แบบเป็นกันเองนาน 3 ชั่วโมง
บทสัมภาษณ์ทั้งหมด จะอยู่ในหนังสือชีวประวัติของพระสันตะปาปา เลโอ ที่ 14 ที่ชื่อ León XIV: ciudadano del mundo, misionero del siglo XXI หรือ “เลโอ ที่ 14: พลเมืองโลก ธรรมทูตแห่งศตวรรษที่ 21” หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เป็นภาษาสแปนิชโดย Penguin Peru และวางจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ส่วนภาษาอังกฤษและโปรตุกีสจะวางจำหน่ายในต้นปี 2026
ในส่วนบทสัมภาษณ์ Pope Report จะแบ่งเป็น 6 ตอน โดยเริ่มตอนแรกตามนี้เลย
1. ถ้าให้เลือก คิดว่าเป็นคนอเมริกันหรือเปรู
โป๊ปเลโอ บอกว่า เป็นทั้งสองชาติ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นอเมริกัน แต่อีกใจก็รักเปรูมากๆ นี่คือประเทศที่บ่มเพาะความเป็น “ตัวตนที่แท้จริงของพระองค์” เพราะครึ่งหนึ่งของชีวิตของตัวเองอยู่ในเปรู ดังนั้น การมีมุมมองแบบลาตินอเมริกาจึงมีคุณค่ามากๆ สิ่งสำคัญคือทำให้ตัวเองได้เชื่อมโยงกับพระสันตะปาปา ฟรานซิส ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเข้าใจวิสัยทัศน์ที่พระสันตะปาปา ฟรานซิส วางไว้ได้อย่างถ่องแท้ และวิธีนี้เองที่จะเป็นวิสัยทัศน์เชิงประกาศกสำหรับศาสนจักรในปัจจุบันและอนาคต”
2. สมมติว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลก อเมริกาเจอเปรู พระสันตะปาปาจะเชียร์ใคร
โป๊ปเลโอ ตอบว่า “อาจจะเชียร์เปรู เพราะผูกพันทางใจ” แต่พระองค์ก็เป็นแฟนบอลทีมชาติอิตาลีด้วย ทุกคนรู้ว่า พระองค์เป็นแฟนทีมเบสบอลไวท์ซ็อกซ์ แต่ในฐานะพระสันตะปาปา พ่อต้องเป็นแฟนของทุกทีม พระสันตะปาปา ยกตัวอย่างว่า เวลาอยู่บ้าน แม่ของพระองค์เป็นแฟนทีมคับส์ (คู่แข่งของไวท์ซ็อกซ์) ดังนั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับการเปิดกว้าง เพราะถ้าไม่เห็นด้วยกับแม่ ตัวพระองค์เองอาจจะไม่ได้กินข้าวเย็น
3. ถึงตอนนี้ เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของการเป็นพระสันตะปาปาหรือยัง
โป๊ปเลโอ บอกว่า “ยังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้หน้าที่” แม้งานบางอย่างที่พระองค์ผ่านไปได้เลยเพราะทำเป็นอยู่แล้ว นั่นคืองานอภิบาล แต่ในมุมของการเป็นผู้นำระดับโลก นี่คือสิ่งที่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ เพราะมันคือการฝึกมุมมองใหม่ในฐานะผู้นำของโลก ซึ่งต้องแสดงออกในเรื่องบทบาททางการทูตระดับโลก
4. วาติกันคือ “กระบอกเสียงสันติภาพ” ไม่ใช่ “ผู้ไกล่เกลี่ย”
โป๊ปเลโอ บอกว่า เราต้องแยกแยะบทบาทของสันตะสำนักในความขัดแย้งที่ยูเครนอย่างชัดเจน โดยชี้ว่าบทบาทที่เป็นไปได้จริงคือ การเป็น “กระบอกเสียง” เพื่อเรียกร้องสันติภาพ ส่วนบทบาทการเป็น “ผู้ไกล่เกลี่ย” โดยตรงนั้น ดู “ไม่สมจริงเท่าไหร่” ในสถานการณ์ปัจจุบัน พระองค์ยังย้ำว่าตั้งแต่สงครามเริ่มต้น สันตะสำนักพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาจุดยืนความเป็นกลางอย่างแท้จริง และไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้สามารถเป็นกระบอกเสียงเพื่อสันติภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระองค์มองว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้มีบทบาทจากหลายฝ่ายช่วยกันผลักดันอย่างหนัก เพื่อจะทำให้คู่ขัดแย้งยอมรับว่า “พอแล้ว” และหันมาเจรจา
5. ทำไมโลกแตกแยกเหลือเกิน
โป๊ปตั้งคำถามสำคัญว่า “ทำไมโลกถึงแตกแยกเหลือเกิน” ก่อนจะชี้ให้เห็นถึงสาเหตุสำคัญ 2 ประการ เรื่องแรกคือการสูญเสียความรู้สึกถึงความหมายของชีวิต ซึ่งทำให้คุณค่าของชีวิตมนุษย์ ครอบครัว และสังคมลดน้อยลง จนเกิดคำถามว่า “จะมีอะไรสำคัญอีก”
ส่วนเรื่องที่สองคือ “ช่องว่างที่กว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างคนรวยและคนจน” พระองค์ยกตัวอย่างเรื่องอัตราค่าตอบแทนของผู้บริหารที่สูงกว่าคนงานถึง 600 เท่า พร้อมพูดถึงข่าวที่ อีลอน มัสก์ กำลังจะเป็นเศรษฐีล้านล้านดอลลาร์คนแรกของโลก
พระสันตะปาปาบอกว่า “หากความมั่งคั่งเป็นสิ่งเดียวที่มีคุณค่าเหลืออยู่ เราก็กำลังตกอยู่ในปัญหาใหญ่หลวงแล้วล่ะ”
6. การประชุมสมัชชา ไม่ใช่การลดอำนาจของบิช็อปหรือสงฆ์ แต่เป็นการชวนให้ทบทวนความหมายแท้จริงของอำนาจในศาสนจักร
โป๊ปเลโอให้นิยาม “การประชุมสมัชชา” (Synodality) ว่าไม่ใช่กระบวนการทางการเมือง แต่คือทัศนคติ การเปิดใจ และความเต็มใจที่จะเข้าใจ” ซึ่งหมายความว่าสมาชิกทุกคนในศาสนจักร ไม่ว่าจะเป็นบิช็อป สงฆ์ หรือฆราวาส ต่างก็มีเสียงและบทบาทที่ต้องแสดงออก
พระองค์ย้ำว่า การประชุมสมัชชาไม่ได้มีไว้เพื่อ “ลดทอนอำนาจของบิช็อปหรือสงฆ์” แต่เป็นการเชิญชวนให้ทบทวนถึงความหมายที่แท้จริงของอำนาจในศาสนจักร
เป้าหมายคือการเปลี่ยนมุมมองจากศาสนจักรที่เป็น “ลำดับชั้นของสถาบัน” มาสู่ความรู้สึกว่า “เราเดินไปด้วยกัน” หรือ “ศาสนจักรของเราทุกคน” ที่ทุกคนร่วมกันมองหาหนทางที่จะเติบโตและก้าวเดินไปด้วยกัน
พระองค์มองว่าทัศนคติเช่นนี้เป็น “ยาถอนพิษ” สำหรับปัญหาความแตกแยกในโลกปัจจุบัน โดยเป็นหนทางในการจัดการกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเผชิญอยู่
อย่างไรก็ตาม “การประชุมสมัชชา” (Synodality) ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนแปลงศาสนจักรให้กลายเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แต่เป็นการเคารพชีวิตของศาสนจักรตามที่เป็น และมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนี้ร่วมกัน
Source:

Comments
Post a Comment