โป๊ปเตือนสติ "อย่าทำตัวเป็นดาวส่องแสงจอมปลอม เพราะดาวที่แท้จริงต้องส่องแสงนำทางและให้ความหวัง"

  • โป๊ปฟรานซิส เตือนสติ อย่าทำตัวเป็นดาวส่องแสงจอมปลอม เพราะดาวที่แท้จริงต้องส่องแสงนำทางและให้ความหวัง ไม่ใช่เปล่งแสงจากการเล่นเกมวางแผนบนอำนาจ 
  • ชวนไตร่ตรอง น่าแปลกที่โหราจารย์จากแดนไกลเดินทางมาพบพระเยซู แต่คนที่อยู่ใกล้ๆ กลับไม่ก้าวออกไปยังถ้ำที่เบ็ธเลเฮมเลยสักก้าว เราลองคิดซิว่า เราจะเป็นคนประเภทไหน

Photo: Vatican Media


ช่วงสายวันจันทร์ที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา พระสันตะปาปา ฟรานซิส ทรงเป็นประธานในมิสซาสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ ซึ่งจัดในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน 


ใจความสำคัญของบทเทศน์ประจำมิสซา Pope Report เรียบเรียงมาให้ ดังนี้ 


1. อย่าเป็น “ดาวส่องแสงจอมปลอม”


พระสันตะปาปา ตรัสว่า “ผู้ปกครองผู้มีอำนาจหลายคนในสมัยพระเยซู เรียกตัวเองว่า ‘ดวงดาว’ เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองสำคัญ ทรงอำนาจ และมีชื่อเสียง แต่แสงที่เผยแสดงปาฏิหาริย์แห่งคริสต์มาสแก่โหราจารย์ไม่ใช่ ‘แสง’ เหล่านี้ ความเจิดจ้าจอมปลอมและเย็นชาของพวกเขา ซึ่งเกิดจากการวางแผนและเกมแห่งอำนาจ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของโหราจารย์ที่กำลังแสวงหาสิ่งใหม่และความหวัง”


2. น่าเศร้าที่บางคนไม่ทำตัวเป็นแสงสว่างให้คนอื่น


“แสงที่แท้จริงคือความรักของพระเจ้า ผู้ทรงรับสภาพมนุษย์และประทานพระองค์เองแก่เราโดยการสละชีวิตของพระองค์ แสงนี้เรียกร้องให้เรามอบตัวเราเพื่อกันและกัน กลายเป็นเครื่องหมายแห่งความหวังร่วมกัน แม้ในคืนที่มืดมิดที่สุดของชีวิตเรา"


“ให้เราถามตัวเองว่า เราเปล่งรัศมีด้วยความหวังหรือไม่ เราสามารถให้ความหวังแก่ผู้อื่นด้วยแสงแห่งความเชื่อของเราหรือไม่ มันช่างน่าเศร้าเพียงใดเมื่อใครบางคนไม่เป็นแสงสว่างสำหรับผู้อื่น” พระสันตะปาปาทรงตั้งคำถาม


3. พระเจ้าทรงแสวงหาทุกคน ไม่เลือกคบเฉพาะกลุ่มคนที่มีสิทธิพิเศษ


พระสันตะปาปา ย้ำว่า “พระเจ้าไม่ทรงเผยพระองค์แก่กลุ่มคนที่มีสิทธิพิเศษ พระองค์มอบมิตรภาพและการนำทางแก่ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยใจจริง ที่จริงแล้ว พระองค์มักจะรู้คำถามของเราล่วงหน้า และเสด็จมาหาเราก่อนที่เราจะเอ่ยปากขอด้วยซ้ำ”


4. เรามีวิธีสื่อสารทรงพลังเยอะ แต่กลับไม่เต็มใจยอมรับผู้อื่น


“พระเจ้าทรงเรียกเราให้ปฏิเสธทุกสิ่งที่เลือกปฏิบัติ กีดกัน หรือทิ้งผู้คน … เราควรไตร่ตรองเรื่องนี้วันนี้ ในเวลาที่เรามีวิธีการสื่อสารที่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับดูเหมือนจะเต็มใจน้อยลงที่จะเข้าใจ ยอมรับ และพบปะผู้อื่นในความแตกต่างของพวกเขา” 


หลังมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงนำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว หลังการภาวนาจบลง พระองค์แบ่งปันว่า


5. คนแดนไกลมาหาพระกุมาร แต่คนอยู่ใกล้ไม่คิดจะไปหา


พระสันตะปาปา ตั้งข้อสังเกตว่า “หากเรามองให้ดี เราจะพบบางสิ่งที่แปลกประหลาด กล่าวคือ ขณะที่โหราจารย์จากแดนไกลเดินทางมาพบพระเยซู คนที่อยู่ใกล้กลับไม่ก้าวออกไปยังถ้ำที่เบ็ธเลเฮมเลยสักก้าว” 


“คนที่อาศัยในกรุงเยรูซาเล็มควรจะมีความสุขที่สุดและพร้อมที่สุดที่จะรีบไปเบ็ธเลเฮม แต่พวกเขากลับอยู่นิ่งๆ พวกสมณะและนักเทววิทยาตีความพระคัมภีร์ได้ถูกต้องและให้ทิศทางแก่โหราจารย์ว่าจะพบพระเมสซิยาห์ที่ไหน แต่พวกเขาไม่ขยับจาก ‘โต๊ะทำงาน’ ของตน พวกเขาพอใจกับสิ่งที่มี และไม่ออกไปแสวงหา พวกเขาไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะออกจากกรุงเยรูซาเล็ม” 


“แต่โหราจารย์ถูกนำทางโดยดวงดาว พวกเขาเผชิญค่าใช้จ่ายมหาศาล สละเวลา ยอมรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากมายซึ่งไม่ขาดแคลนในสมัยนั้น พวกเขาเอาชนะทุกความยากลำบากเพื่อไปเห็นพระเมสซิยาห์ เพราะพวกเขารู้ว่ามีบางสิ่งที่พิเศษกำลังเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และพวกเขาไม่อยากพลาดเหตุการณ์นี้”


6. เราเป็นเหมือนใครกันมากกว่ากัน


“พ่ออยากให้เราไตร่ตรองว่า เราเป็นเหมือนใครมากกว่ากัน เราเป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่รีบไปยังถ้ำในคืนนั้นเอง และโหราจารย์จากตะวันออกที่ออกเดินทางอย่างมั่นใจเพื่อแสวงหาพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงรับสภาพมนุษย์ หรือเป็นเหมือนคนที่แม้จะอยู่ใกล้พระองค์มาก แต่ไม่เปิดประตูหัวใจและชีวิตของตน ยังคงปิดและไม่รู้สึกไวต่อการประทับอยู่ของพระเยซู” พระสันตะปาปาตรัสในตอนท้าย


Sources:


1. https://www.vatican.va/content/francesco/en/homilies/2025/documents/20250106-omelia-epifania.html


2. https://www.vatican.va/content/francesco/en/angelus/2025/documents/20250106-angelus.html

Comments