สรุปใจความสำคัญของสมณสาส์น Dilexit Nos (พระองค์ทรงรักเรา)
วันนี้ พระสันตะปาปา ฟรานซิส ทรงออกสมณสาสน์ “Dilexit Nos” (แปลเป็นไทยว่า “พระองค์ทรงรักเรา”) นี่คือสมณสาส์นฉบับที่ 4 ของพระองค์ เนื้อหาสมณสาส์นนี้ พระสันตะปาปาเขียนเกี่ยวกับพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู
ทั้งหมดมี 220 ข้อ (5 บท) ผมลองอ่านแบบเร็วๆ มาตั้งแต่เย็นๆ ประกอบกับอ่านสรุปจากเพื่อนนักข่าววาติกันหลายๆคน ผมสรุปสิ่งสำคัญๆ 5 ข้อ ให้ดังต่อไปนี้
- หัวใจคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ และโลกได้สูญเสียหัวใจไปแล้ว เราต้องถามตัวเองว่า “เรายังมีหัวใจที่จะรักและห่วงใยคนอื่นไหม”
- ระวังหลงไปกับการเน้นเหตุผลหรือเทคโนโลยีมากเกินไป ระวังเทคโนโลยี “บงการ” หัวใจของเราจนคิดไม่เป็น รักไม่เป็น ห่วงคนอื่นไม่เป็น
- ขอพระหฤทัยของพระเยซูช่วยเหลือผู้อภิบาลที่หมกมุ่นกับกิจกรรมทางโลกมากเกินไป สนใจแต่การปฏิรูปโครงสร้างที่แทบไม่เกี่ยวข้องกับพระวรสาร
- ขอพระหฤทัยของพระเยซูช่วยศาสนจักรเดินไปข้างหน้าด้วยความรักคนอื่น ไม่ใช่เอาแต่วิพากษ์แต่เรื่องเทววิทยาและสังคม
- ขอพระหฤทัยของพระเยซูช่วยเราไม่ให้ “ดูหมิ่นความศรัทธาอันร้อนรนของประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
1) หัวใจคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ และโลกได้สูญเสียหัวใจไปแล้ว
นี่คือใจความสำคัญของสมณสาส์นฉบับนี้ พระสันตะปาปาพูดคำนี้ตอนที่ไปเยือนลักเซ็มเบิร์กและเบลเยียม พร้อมบอกว่า พระองค์จะออกสมณสาส์นเรื่องพระหฤทัยของพระเยซู พระสันตะปาปามองว่า เรากำลังอยู่ในยุคที่มนุษย์ตกอยู่ในความเสี่ยงมากๆที่จะสูญเสียหัวใจของเรา สูญเสียความรู้สึก และเราต้องกู้มันกลับมาอย่างเร่งด่วน
พระสันตะปาปาเขียนว่า หัวใจแสดงให้เห็น “ตัวตนที่แท้จริงของเรา” (ข้อ 6) เพราะนี่คือ “ที่พำนักของความรักในทุกมิติทั้งด้านจิตวิญญาณ จิตใจ และแม้แต่ด้านร่างกาย” (ข้อ 21) “เป็นแก่นแท้ที่ซ่อนอยู่ใต้รูปลักษณ์ภายนอกทั้งหมด แม้แต่ใต้ความคิดผิวเผินที่อาจนำเราหลงทาง” (ข้อ 4)
คำถามที่ลึกซึ้งที่สุดเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเรา ก็คือ “เราคือใครกันแน่? เรากำลังมองหาอะไร? เราเป็นใครสำหรับผู้อื่น? เราเป็นใครสำหรับพระเจ้า?” ทั้งหมดนี้ตอบได้ด้วยคำถามพื้นฐานเพียงข้อเดียวก็คือ “เรายังมีหัวใจหรือไม่?” (ข้อ 23)
หัวใจไม่เพียงแต่เป็นที่นั่งของ “อารมณ์ความรู้สึกลึกซึ้ง” (ข้อ 16) ที่เราค้นพบว่าเราคือใคร แต่ยังเป็นสถานที่ที่ความรักถือกำเนิด ความรักไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าที่มีต่อเรา และจากสิ่งนี้ความสามารถในการรักผู้อื่นของเราก็หลั่งไหลออกมา ในหัวใจของเรา เราค้นพบไฟที่ลุกโชนที่ทำให้เรากลายเป็นบุคคลที่ควรจะเป็นอย่างสมบูรณ์ เพราะมนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาเหนือสิ่งอื่นใดเพื่อความรัก ในเส้นใยที่ลึกที่สุดแห่งการดำรงอยู่ของเรา เราถูกสร้างมาเพื่อรักและเพื่อถูกรัก (ข้อ 21)
2. ความสำคัญของความรู้สึก ไม่ใช่แค่สติปัญญา
ช่วงต้นของสมณสาส์น พระสันตะปาปาบอกว่า “ความรักคือความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกันได้” (ข้อ 10)
พระสันตะปาปาได้วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดที่เน้นเหตุผลหรือเทคโนโลยีมากเกินไป พระองค์เตือนว่าความคิดและความตั้งใจของเรา “สามารถคาดเดาได้ง่ายและถูกบงการได้ รวมถึงโดยอัลกอริธึ่มดิจิทัลที่ป้อนข้อมูลที่ปรับแต่งมาให้เรา” (ข้อ 14) สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง เพราะเราจะคิดและเน้นผลลัพธ์แบบไร้ความรู้สึก
3. ศาสนจักรต้องลึกซึ้งในความรักมากกว่าการปฏิรูปโครงสร้าง
ตั้งแต่เริ่มสมณสมัย พระสันตะปาปา ฟรานซิส เตือนอย่างหนักแน่นถึงแนวโน้มของศาสนจักรที่จะสนใจแต่ตัวเอง หรือหมกมุ่นกับสิ่งที่พระองค์เรียกว่าจิตตารมณ์ทางโลก
ในสมณสาส์นนี้ พระองค์ทรงสานต่อแนวคิดนี้ โดยตรัสว่า “พระหฤทัยของพระเยซูจะปลดปล่อยเราจากสิ่งที่เราเป็น นั่นคือ ผู้อภิบาลที่หมกมุ่นกับกิจกรรมทางโลกมากเกินไป การปฏิรูปโครงสร้างที่แทบไม่เกี่ยวข้องกับพระวรสาร แผนการจัดระเบียบใหม่ที่หมกมุ่นกับโครงการทางโลก วิธีคิดแบบแยกพระเจ้าออกจากการดำเนินชีวิต” (ข้อ 88)
พระสันตะปาปายังหวังด้วยว่า ศาสนจักรจะถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่เพียงแค่โดยการวิเคราะห์วิพากษ์ประเด็นทางเทววิทยาและสังคม แต่มันต้องมากกว่านั้น เราต้องเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความรักอันทรงพลังต่อพระคริสต์ (ข้อ 90)
พระสันตะปาปาขอร้องผู้ที่หมกมุ่นกับแผนงานและวิสัยทัศน์ของตนเองสำหรับศาสนจักร ไม่ว่าจะผ่านการยึดมั่นในโครงสร้างปัจจุบันหรือการปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคน ให้ปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ตามความจำเป็นของการฟื้นฟูความรัก ในบทสรุปของสมณสาส์น พระองค์ตรัสว่าแทนที่จะเป็นโครงสร้างและความกังวลที่ล้าสมัย การยึดติดกับความคิดและความเห็นของตัวเอง และความคลั่งไคล้ในรูปแบบต่างๆ ศาสนจักรต้องการ “ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าที่ปลดปล่อย ให้ชีวิต นำความชื่นชมยินดีมาสู่หัวใจและสร้างชุมชน” (ข้อ 219)
4. การฟื้นฟูความศรัทธาของบรรดาผู้มีความเชื่อความศรัทธา
สิ่งที่โดดเด่นในสมณสาส์นี้คือการขอร้องอย่างจริงใจเพื่อความศรัทธาของบรรดาผู้มีความเชื่อ “พ่อขอร้องว่าอย่าให้ผู้ใดดูหมิ่นความศรัทธาอันร้อนรนของประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
สิ่งนี้ สอดคล้องกับกฎใหม่ที่นำมาใช้สำหรับการรับรองการประจักษ์ของแม่พระ ซึ่งการไตร่ตรองของสัตบุรุษและผลของความศรัทธาได้รับการพิจารณามากขึ้น พระสันตะปาปา ฟรานซิส เชื่อว่าความศรัทธาแบบชาวบ้าน (แบบคนทั่วๆไป) ต่อพระหฤทัยนั้นเป็นเรื่องชอบธรรม เพราะสัตบุรุษรับรู้ “บางสิ่งที่ลึกลับ เหนือเหตุผลตามประสามนุษย์ [...] การรับทรมานของพระเยซูไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ในอดีต แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถมีส่วนร่วมผ่านความเชื่อ”
5. พันธกิจของเราในฐานะคริสตชน
สมณสาส์นจบลงด้วยคำเชิญชวนของพระสันตะปาปา ฟรานซิส ให้ศาสนจักรเป็นผู้แพร่ธรรม โดยตรัสกับผู้อ่านเป็นการส่วนตัวว่า “การพูดถึงพระเยซูคริสต์ ด้วยการเป็นประจักษ์พยานหรือด้วยคำพูด ในแบบที่ทำให้ผู้อื่นแสวงหาที่จะรักพระองค์ คือความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกคนที่เป็นผู้แพร่ธรรมแก่จิตวิญญาณ”
“พระเยซูคริสต์ทรงขอให้เราอย่าได้ละอายที่จะบอกผู้อื่น ด้วยความระมัดระวังและความเคารพตามสมควร เกี่ยวกับมิตรภาพของเรากับพระองค์ พระองค์ทรงขอให้เรากล้าที่จะบอกผู้อื่นว่ามันช่างยอดเยี่ยมและงดงามเพียงใดที่ตัวเราได้พบกับพระองค์”
Source:
Comments
Post a Comment