โป๊ปย้ำอย่าเป็นศาสนจักรที่นั่งเฉยๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะตาบอดและไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเพื่อนมนุษย์
- โป๊ปฟรานซิส ย้ำ อย่าเป็นศาสนจักรที่นั่งเฉยๆ นิ่งเงียบ มือไม่เปื้อนจากการช่วยเหลือคนอื่น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะเป็นศาสนจักรที่ตาบอดและไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของเพื่อนมนุษย์
- ทรงชี้ ถ้าเราเป็นศาสนจักรที่ตาบอด เราจะไม่พร้อมเผชิญหน้ากับความจริง เราจะไม่สามารถและจะล้มเหลวในการตอบคำถามที่บรรดาประชากรของพระเจ้าตั้งคำถามใส่เราได้
- ทรงยอมรับ การพูดเรื่อง “ศาสนจักรต้องกล้ามือเปื้อนจากการทำงานรับใช้” อาจไปสะกิดต่อมให้หลายคนไม่พอใจ แต่นี่คือเรื่องจำเป็น เพราะเราต้องไม่เป็นศาสนจักรที่นั่งเฉยๆและไม่สนใจโลก
![]() |
Photo: Vatican Media |
ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา พระสันตะปาปา ฟรานซิส ทรงเป็นประธานในมิสซาปิดการประชุมสมัชชาบิช็อปคาทอลิก ซึ่งจัดขึ้นภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน สมัชชาบิช็อปคาทอลิกครั้งนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2021 และมาสิ้นสุดลงในวันนี้ โดยใช้เวลาดำเนินการนานกว่า 3 ปี
ในส่วนของพระวรสารประจำมิสซานี้ เป็นเหตุการณ์ที่ บาร์ติเมอัส ชายตาบอด เรียกร้องหาพระเยซูให้ช่วยเขาพ้นจากความเจ็บปวด พระสันตะปาปาจึงแบ่งปันพระวรสารตอนนี้ เป็น 2 หัวข้อ ได้แก่ “การนั่งอยู่ข้างถนน” และ “ติดตามพระองค์ไปตามทาง”
พระสันตะปาปาตรัสว่า “บาร์ติเมอัส ชายตาบอดที่ถูกบังคับให้ขอทานข้างถนน เขาคือคนสิ้นหวัง แต่เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูกำลังเสด็จผ่านมา เขาตะโกนเรียกพระองค์ บาร์ติเมอัสร้องด้วยความเจ็บปวดต่อพระเยซูและอยากจะมองเห็นอีกครั้ง ขณะที่คนอื่นรำคาญเสียงร้องของเขาและห้ามปราม พระเยซูทรงหยุด เพราะพระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องของคนยากจนเสมอ และไม่มีเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดใดที่พระองค์ไม่ได้ยิน”
“สิ่งแรกที่พระวรสารบอกเราเกี่ยวกับบาร์ติเมอัสคือเขากำลังขอทานอยู่ข้างถนน จมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง … แต่อย่างที่เรารู้ หากเราต้องการมีชีวิตอย่างแท้จริง เราไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้ ชีวิตเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว การออกเดินทาง การฝัน การวางแผน การเปิดใจสู่อนาคต”
“สิ่งนี้สามารถช่วยให้เราไตร่ตรองไม่เพียงแต่ชีวิตของเราเอง แต่ยังรวมถึงความหมายของการเป็นศาสนจักรของพระเจ้า หลายสิ่งทำให้เราตาบอด ไม่สามารถรับรู้การประทับอยู่ของพระเจ้า ไม่พร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายของความจริง บางครั้งไม่สามารถให้คำตอบที่เหมาะสมแก่คำถามของผู้ที่ร้องเรียกหาเรา เหมือนที่บาร์ติเมอัสร้องเรียกพระเยซู เราไม่สามารถอยู่เฉยๆ ต่อคำถามที่มาจากชายและหญิงในปัจจุบัน ต่อความท้าทายของยุคสมัยของเรา ต่อความเร่งด่วนของการประกาศพระวรสาร และบาดแผลมากมายที่ทำให้มนุษยชาติเจ็บปวด”
“เราไม่สามารถนั่งพักผ่อนได้ ศาสนจักรที่นั่งอยู่เฉยๆ และจำกัดตัวเองอยู่ที่ชายขอบของความเป็นจริง คือศาสนจักรที่เสี่ยงต่อการตาบอดและรู้สึกสบายกับความไม่สบายของตนเอง หากเรายังคงติดอยู่กับความตาบอดของเรา เราจะล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการเข้าใจความเร่งด่วนของการให้คำตอบด้านการอภิบาลต่อปัญหามากมายในโลกของเรา”
“เราไม่ต้องการศาสนจักรที่นั่งเฉยๆและพ่ายแพ้ แต่เราต้องการศาสนจักรที่ได้ยินเสียงร้องของโลก พ่อขอพูดเช่นนี้แม้บางคนอาจรู้สึกขุ่นเคือง เราต้องการศาสนจักรที่มือเปื้อนจากการทำงานรับใช้”
“เรามาถึงแง่มุมที่สอง พระวรสารบอกเราว่าถ้าในตอนแรกบาร์ติเมอัสนั่งอยู่ ในตอนท้ายเราเห็นเขาติดตามพระเยซูไปตามถนน … ขอให้เราทำเช่นเดียวกัน เมื่อพระองค์เสด็จผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า เราต้องฟังการเรียกของพระองค์เพื่อที่เราจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งและพระองค์จะทรงรักษาความตาบอดของเรา และจากนั้นเราจะสามารถติดตามพระองค์อีกครั้ง และเดินไปกับพระองค์”
“พ่อขอย้ำว่าพระวรสารกล่าวถึงบาร์ติเมอัสว่า ‘ติดตามพระองค์ไปตามทาง’ นี่คือภาพของศาสนจักรที่เดินไปด้วยกัน พระเจ้าทรงเรียกเรา ทรงยกเราขึ้นเมื่อเรานั่งหรือล้มลง ทรงรักษาสายตาของเราเพื่อให้เราสามารถรับรู้ความวิตกกังวลและความทุกข์ทรมานของโลกในแสงสว่างแห่งพระวรสาร”
“พี่น้องทั้งหลาย อย่าเป็นศาสนจักรที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่จงเป็นศาสนจักรที่ยืนหยัด ไม่ใช่ศาสนจักรที่เงียบๆ แต่เป็นศาสนจักรที่โอบรับเสียงร้องของมนุษยชาติ ไม่ใช่ศาสนจักรที่ตาบอด แต่เป็นศาสนจักรที่ได้รับความสว่างจากพระคริสต์ ที่นำแสงสว่างแห่งพระวรสารไปสู่ผู้อื่น ไม่ใช่ศาสนจักรที่หยุดนิ่ง แต่เป็นศาสนจักรธรรมทูตที่เดินไปกับพระเจ้าของเราตามถนนต่างๆ ของโลก” พระสันตะปาปาตรัสในตอนท้าย
Source:
- https://www.vatican.va/content/francesco/en/homilies/2024/documents/20241027-omelia-conclusione-sinodo.html
Comments
Post a Comment