โป๊ปฟรานซิส ขอร้องบรรดาบิช็อป อย่าปกปิดการล่วงละเมิดเด็ดขาด
- โป๊ปฟรานซิส ขอร้องบรรดาบิช็อป อย่าปกปิดการล่วงละเมิด แต่จงประณามและช่วยคนที่ทำเรื่องเหล่านี้ให้หายจากโรคร้าย เพราะความชั่วร้ายไม่ควรถูกซ่อนเร้น มันต้องถูกเปิดเผยให้เป็นที่รู้กัน
- ทรงย้ำ เสียงร้องครำ่ครวญของพวกเขาต้องไม่ถูกลบล้าง คล้ายกับว่ามันคือ “เสียงเพี้ยน” ในคอนเสิร์ตที่แสดงอยู่ในโลกของความมั่งคั่ง ตรงกันข้าม นี่คือเสียงของพระจิตที่เตือนใจว่าเราเป็นใคร และเราต้องละอายกับสิ่งนี้
- สาเหตุที่พระสันตะปาปาย้ำเรื่องอย่าปกปิดการล่วงละเมิด ก็เพราะตั้งแต่เริ่มการเยือนเบลเยียม สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิป กษัตริย์แห่งเบลเยียม, อเล็กซานเดอร์ เดอ โคร นายกรัฐมนตรีของเบลเยียม รวมถึงนักศึกษาคาทอลิกที่พระสันตะปาปาไปพบ ต่าง "ตำหนิ" ศาสนจักรคาทอลิกอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการปกปิดคดีบาทหลวงล่วงละเมิดเด็กในเบลเยียม ซึ่งการตำหนินี้ เป็นการตำหนิพระสันตะปาปาแบบซึ่งๆหน้าเลยทีเดียว
- ทรงสอน เราไม่ได้ถูกส่งไปประกาศพระวรสารเพราะความดีความชอบของเรา แต่เราถูกส่งออกไปเพราะพระหรรษทานของพระเจ้า พระเมตตา และเพราะความไว้วางใจที่พระเจ้ามอบให้เราต่างหาก
Photo: Vatican Media |
ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา พระสันตะปาปา ฟรานซิส ทรงเป็นประธานในพิธีมิสซาที่สนามคิงโบดวง กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ท่ามกลางผู้มาร่วมพิธีกว่า 35,000 คน ในมิสซานี้ พระสันตะปาปาได้ประกาศแต่งตั้ง “ซิสเตอร์อันนาแห่งพระเยซู” เป็นบุญราศี โดยท่านเป็นซิสเตอร์ชาวสเปนในศตวรรษที่ 17 ท่านคือผู้นำการปฏิรูปคณะคาร์เมไลท์ของนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาไปยังเบลเยียมและส่วนอื่นๆ ของยุโรป
ในส่วนของบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาทรงแบ่งปันว่า “‘ผู้ใดที่ทำให้คนธรรมดาเหล่านี้ที่เชื่อในเราคนหนึ่งคนใดหลงผิดไป ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นแล้วทิ้งเขาลงทะเลก็ดีกว่า’ (มาร์โก 9:42) พระเยซูเตือนถึงอันตรายของการทำให้ผู้อื่นหลงผิด นั่นคือการขัดขวางหนทางและทำร้ายชีวิตของ ‘คนธรรมดา’ นี่เป็นคำเตือนที่รุนแรง เป็นคำเตือนที่เข้มงวด ซึ่งเราต้องหยุดคิดใคร่ครวญ ผ่านคำธรรมดาๆ 3 คำ ได้แก่ การเปิดใจ การเป็นหนึ่งเดียวกัน และการเป็นประจักษ์พยาน”
“ประการแรกคือการเปิดใจ บทอ่านแรกและพระวรสาร … (บทอ่านแรกเกี่ยวกับโมเสส) ทำให้เราคิด เพราะตอนแรก การไม่อยู่ในกลุ่มผู้ถูกเลือกจัดเป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้ แต่โมเสส บุรุษผู้ถ่อมตนและมีปรีชาญาณกล่าวด้วยจิตใจและความคิดที่เปิดกว้างว่า ‘ขอให้ประชากรทั้งหมดของพระเจ้าเป็นประกาศกเถิด’”
“นี่คือถ้อยคำแห่งสติปัญญา ซึ่งนำหน้าสิ่งที่พระเยซูตรัสในพระวรสาร บรรดาศิษย์ต้องการห้ามชายคนหนึ่งไม่ให้ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระเยซู เพราะ ‘เขาไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเรา’ พวกเขาคิดแค่ว่า ‘คนที่ไม่ใช่พวกของเรา ไม่สามารถทำการอัศจรรย์ได้ เขาไม่มีสิทธิ์’ แต่พระเยซูทำให้พวกเขาประหลาดใจและตำหนิพวกเขา เชิญชวนให้พวกเขาก้าวข้ามกรอบความคิดของตน ไม่ให้หลงผิด พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘อย่าห้ามเขาเลย [...] ผู้ที่ไม่ต่อต้านเราก็เป็นฝ่ายเรา”
“ให้เราสังเกตสองเหตุการณ์นี้ให้ดี ทั้งเรื่องโมเสสและพระเยซู ทุกคนได้รับพันธกิจในศาสนจักรผ่านทางศีลล้างบาป ชุมชนผู้มีความเชื่อไม่ใช่พื้นที่ของคนที่มีสิทธิพิเศษ แต่เป็นครอบครัวของผู้ได้รับความรอด และเราไม่ได้ถูกส่งไปประกาศพระวรสารในโลกเพราะความดีความชอบของเรา แต่เพราะพระหรรษทานของพระเจ้า เพราะพระเมตตาของพระองค์ และเพราะความไว้วางใจที่พระองค์ยังคงมอบให้เราด้วยความรักของพระบิดา แม้จะเห็นข้อจำกัดและบาปทั้งหมดของเรา พระเจ้าเห็นตัวเราทุกจุดโดยที่เราเองไม่สามารถมองเห็นได้”
“ประการที่สองคือการเป็นหนึ่งเดียวกัน นักบุญเจค็อบ (ยาก็อบ) กล่าวถึงเรื่องนี้ในบทอ่านที่สองว่า ‘ความมั่งคั่งที่เน่าเปื่อย’ หนทางของความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดเพียงการปิดกั้น สร้างกำแพง และอุปสรรค ซึ่งก็คือความอื้อฉาวนั่นเอง ความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องน่าอื้อฉาว เพราะมันบดขยี้คนธรรมดาๆ ทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ และกลบเสียงร้องของคนยากจน”
“ลองคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนธรรมดาถูกทำให้หลงผิด ถูกทำร้าย ถูกล่วงละเมิดโดยผู้ที่ควรจะดูแลพวกเขา … พ่อขอย้อนกลับไปยังเรื่องราวของ ‘คนธรรมดา’ บางคนที่พ่อได้พบเมื่อวาน พ่อได้ยินความทุกข์ทรมานของผู้ถูกล่วงละเมิด และพ่อขอย้ำที่นี่ว่า ‘ในศาสนจักรมีที่สำหรับทุกคน แต่เราทุกคนจะถูกพิพากษา และไม่มีที่สำหรับการล่วงละเมิด ไม่มีที่สำหรับการปกปิดการล่วงละเมิด”
“พ่อขอร้องทุกคน อย่าปกปิดการล่วงละเมิด พ่อขอร้องบรรดาบิช็อป อย่าปกปิดการล่วงละเมิด จงประณามผู้ล่วงละเมิดและช่วยพวกเขาให้หายจากโรคแห่งการล่วงละเมิดนี้ ความชั่วร้ายไม่ควรถูกซ่อนเร้น ความชั่วร้ายต้องถูกเปิดเผยให้เป็นที่รู้กัน เหมือนที่ผู้ถูกล่วงละเมิดบางคนได้ทำด้วยความกล้าหาญให้เป็นที่รู้กันทั่ว และให้ผู้ล่วงละเมิดถูกพิพากษา ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสชายหญิง สงฆ์ หรือบิช็อป”
“‘เสียงร้องของคนเก็บเกี่ยว’ และ ‘เสียงร้องของคนยากจน’ ไม่สามารถถูกเพิกเฉย ไม่สามารถถูกลบล้าง ราวกับเป็นเสียงเพี้ยนในคอนเสิร์ตที่สมบูรณ์แบบของโลกแห่งความมั่งคั่ง ตรงกันข้าม พวกเขาคือเสียงที่มีชีวิตของพระจิต เตือนใจว่าเราเป็นใคร เราทุกคนล้วนเป็นคนบาปที่ยากจน ทุกคน โดยเฉพาะตัวพ่อเอง และผู้ถูกล่วงละเมิดคือเสียงคร่ำครวญที่ดังขึ้นสู่สวรรค์ ที่สัมผัสจิตวิญญาณ ที่ทำให้เราละอายใจและเรียกร้องให้เรากลับใจ อย่าขัดขวางเสียงแห่งการเผยพระวาจาของพวกเขา อย่าปิดกั้นด้วยความเพิกเฉยของเรา”
“ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาถึงคำที่สามก็คือการเป็นประจักษ์พยาน เราสามารถใช้ชีวิตและงานของ ‘บุญราศีอันนาแห่งพระเยซู’ เป็นแรงบันดาลใจในวันที่ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศี ท่านเป็นประจักษ์พยานถึงความเชื่อคริสตชนผ่านทางความยากจน การภาวนา และความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวอันเจ็บปวด ดังนั้น ขอให้เรายอมรับด้วยความกตัญญูต่อแบบอย่างของรูปแบบความศักดิ์สิทธิ์แบบสตรีที่ท่านมอบให้เรา ซึ่งละเอียดอ่อนแต่เข้มแข็ง” พระสันตะปาปาตรัสในตอนท้าย
หลังมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงนำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว หนึ่งในข่าวสำคัญที่พระองค์แจ้งทุกคน นอกเหนือจากการวอนขอสันติภาพในโลก ก็คือ การแจ้งว่า เมื่อกลับถึงกรุงโรม พระองค์จะเริ่มกระบวนการแต่งตั้งสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงเป็นบุญราศีด้วย
Sources:
1. https://www.vatican.va/content/francesco/it/homilies/2024/documents/20240929-belgio-messa.html
2. https://www.vatican.va/content/francesco/it/angelus/2024/documents/20240929-belgio-angelus.html
Comments
Post a Comment