รายละเอียดโป๊ปคุยกับเยสุอิตในอินโดนีเชีย มีเอ่ยถึง “กรุงเทพฯ” ด้วย

วันนี้ “ลา ชิวิลต้า คัตโตลิก้า” ได้ตีพิมพ์บทสนทนาแบบละเอียดที่พระสันตะปาปา ฟรานซิส พูดคุยกับสมาชิกเยสุอิตระหว่างการไปเยือน “อินโดนีเชีย, ปาปัวนิวกินี, ติมอร์เลสเต้ และสิงคโปร์” ความยาวทั้งหมด 12 หน้ากระดาษ A4 ผมเซฟเก็บไว้ เพราะอ่านไม่จบทั้งหมด คืนนี้ ผมอ่านจบแค่พระสันตะปาปาคุยกับเยสุอิตอินโดนีเชีย ก็เลยจะขอสรุปสั้นๆให้ฟังละกัน (เอาอันที่คนไทยน่าจะสนใจ) ส่วนบทสนทนากับเยสุอิตในติมอร์เลสเต้ และสิงคโปร์ เดี๋ยวค่อยมาเล่าให้ฟังนะครับ


1. พระสันตะปาปามีเอ่ยถึง “คุณพ่ออารูเป้ กับคำปราศรัยครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพฯ”


คำถามคือจากเยสุอิตคือ “ผมเป็นนักศึกษาเทววิทยา เราจะจัดการกับประเด็นสำคัญที่สุดในศาสนจักรในปัจจุบันอย่างไร? และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะช่วยเหลือผู้ที่ถูกกีดกันและถูกทอดทิ้งมากที่สุดได้อย่างไร?”


พระสันตะปาปา: “พ่ออยากให้เยสุอิตสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ลองอ่านหนังสือกิจการอัครสาวกดูซิว่า พวกเขาทำอะไรในช่วงเริ่มต้นของคริสตศาสนา พระจิตเจ้านำไปสู่ การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง”


“จำไว้ว่าเยสุอิตต้องอยู่ในสถานที่ที่ยากลำบากที่สุด ที่ซึ่งการทำงานนั้นไม่ง่ายที่สุด นี่คือวิธีของเราในการก้าวไปข้างหน้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระเจ้า เพื่อสร้างเสียงที่ดีภายใต้การนำของพระจิต เราต้องสวดภาวนาให้มาก พ่อมักนึกถึงมรดกของคุณพ่อเปโดร อารูเป้ เมื่อท่านขอให้เยสุอิตไม่ละทิ้งการสวดภาวนา คุณพ่ออารูเป้ต้องการให้เยสุอิตทำงานกับผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นงานแพร่ธรรมที่ยากลำบากในพื้นที่ชายแดน  และท่านแสดงออกโดยขอให้พวกเขาทำสิ่งหนึ่งเป็นอันดับแรก นั่นคือ การสวดภาวนา สวดภาวนาให้มากขึ้น คำปราศรัยครั้งสุดท้ายของท่านที่กรุงเทพฯ เป็นพินัยกรรมที่มอบให้กับคณะเยสุอิต ท่านกล่าวว่าเราจะพบพลังและแรงบันดาลใจในการจัดการกับความอยุติธรรมทางสังคมได้เฉพาะในการสวดภาวนาเท่านั้น ดูชีวิตของนักบุญฟรานซิส เซเวียร์, คุณพ่อมัตเตโอ ริชชี่ และเยสุอิตอีกมากมาย พวกเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพราะจิตตารมณ์แห่งการสวดภาวนาของพวกเขา”


** คุณพ่อเปโดร อารูเป้ เป็นอดีตอธิการเจ้าคณะเยสุอิต ท่านเคยกล่าวที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1981 ระหว่างการพบกับสมาชิกเยสุอิตที่ทำงานกับผู้ลี้ภัยเรื่องการสวดภาวนา


และคืนนั้นเอง ท่านได้ขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพฯ กลับกรุงโรม เมื่อเดินทางถึงอิตาลี ระหว่างรอกระเป๋าสัมภาระที่สนามบิน ท่านประสบภาวะโรคหลอดเลือดสมอง (Storke) และทำให้ท่านต้องทนทุกข์อย่างยาวนาน


2. พระสันตะปาปาสวดภาวนาได้อย่างไร


พระสันตะปาปาตอบว่า “พวกท่านรู้ไหม พ่อต้องการการสวดภาวนาจริงๆ พ่อตื่นแต่เช้าเพราะแก่แล้ว พ่อตื่นประมาณตี 4 จากนั้นตี 5 ผมเริ่มสวดภาวนา พ่อสวดทำวัตรและคุยกับพระ ถ้าการสวดภาวนาเป็นแบบน่าเบื่อหน่อย ก็จะเป็นการสวดสายประคำ หลังจากอาหารกลางวัน บางครั้งพ่อก็สวดภาวนาเงียบๆ ต่อหน้าพระเจ้า และถวายมิสซา ตอนเย็น พ่อสวดภาวนาเพิ่มเติมอีกหน่อย การอ่านหนังสือเสริมศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญมาก เราต้องพัฒนาจิตวิญญาณของเราด้วยการอ่านที่ดี พ่อสวดภาวนาแบบนี้ บางครั้งพ่อก็นั่งหลับในขณะสวดภาวนา และเมื่อเกิดขึ้น มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อ มันเป็นสัญญาณว่าพ่อสบายดีกับพระเจ้า พ่อพักผ่อนด้วยการสวดภาวนา อย่าทิ้งการสวดภาวนาเลย”


3. ขอร้องให้ปล่อย อองซาน ซูจี และวาติกันพร้อมต้อนรับ


คำถามมีว่า “ผมมาจากเมียนมา เราประสบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมาสามปีแล้ว พระองค์แนะนำให้เราทำอย่างไรครับ? เราสูญเสียชีวิต ครอบครัว ความฝัน และอนาคตของเรา เราจะไม่สูญเสียความหวังได้อย่างไรครับ”


พระสันตะปาปาตอบว่า “สถานการณ์ในเมียนมายากลำบาก พวกท่านก็รู้ว่าชาวโรฮิงญาอยู่ในใจของพ่อ พ่อเคยไปเมียนมาและพูดคุยกับอองซาน ซูจี ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีและตอนนี้อยู่ในคุก จากนั้นพ่อไปเยือนบังกลาเทศ และที่นั่นผมได้พบกับชาวโรฮิงญาที่ถูกขับไล่ออกมา ดูสิ ไม่มีคำตอบสากลสำหรับคำถามของท่านเลย มีคนหนุ่มสาวที่ดีกำลังต่อสู้เพื่อบ้านเกิดของพวกเขา ในเมียนมาวันนี้ ท่านไม่สามารถเงียบได้ ท่านต้องทำอะไรสักอย่าง อนาคตของประเทศต้องเป็นสันติภาพ บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของทุกคน บนการเคารพระเบียบประชาธิปไตยที่อนุญาตให้แต่ละคนมีส่วนร่วมในความดีส่วนรวม พ่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวอองซาน ซูจี พ่อได้ต้อนรับลูกชายของเธอในกรุงโรม พ่อเสนอวาติกันเป็นสถานที่ลี้ภัยสำหรับเธอ ตอนนี้ สตรีคนนี้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองต้องได้รับการปกป้อง คุณจำซิสเตอร์ที่คุกเข่าชูมือต่อหน้าทหารได้ไหม? ภาพของเธอไปทั่วโลก พ่อสวดภาวนาให้พวกลูกคนหนุ่มสาวกล้าหาญเช่นนั้น ศาสนจักรในประเทศของลูกกล้าหาญมากๆ” Source


- https://www.laciviltacattolica.com/onward-with-courageous-prudence/



Comments