โป๊ปย้ำนักกฎหมายคาทอลิก จงทำตัวเป็นแบบอย่างความหวังให้คนรุ่นใหม่
โป๊ปฟรานซิส ย้ำนักกฎหมายคาทอลิก
- จงทำตัวเป็นแบบอย่างความหวังให้คนรุ่นใหม่ เพราะยุคนี้มีแต่ข่าวร้ายจากสงครามความขัดแย้งและความคิดเชิงลบอยู่เต็มไปหมด
- ทรงชี้ สถานการณ์โลกตอนนี้เหมือนสงครามโลกครั้งที่สาม เพียงแต่มันเกิดเป็นหย่อมๆ และดูไม่มีทางสิ้นสุด
- ทรงสอน ไม่มีใครสามารถออกจากความขัดแย้งได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีคนอื่นมาช่วยเจรจาพูดคุย ความขัดแย้งถึงยุติลงได้
Photo: Vatican Media |
ช่วงสายวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา พระสันตะปาปา ฟรานซิส ทรงต้อนรับเครือข่ายนักกฎหมายคาทอลิกนานาชาติ ที่มาเข้าเฝ้าในหอประชุมเคลเมนติน่า นครรัฐวาติกัน โอกาสที่พวกเขามาประชุมประจำปีภายใต้หัวข้อ “โลกในสงคราม: วิกฤตและความขัดแย้งถาวร - มันหมายความอย่างไรสำหรับเรา”
สำหรับพระดำรัสวันนี้ พระสันตะปาปาตรัสกับพวกเขาว่า “สถานการณ์ปัจจุบันของสงครามโลกครั้งที่สาม ดูเหมือนเป็นการต่อสู้กันเป็นหย่อมๆ มันดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้แบบถาวรและหยุดไม่ได้ แท้จริงแล้ว ตอนนี้มีสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นแล้ว วิกฤตที่ดำเนินอยู่นี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความพยายามอย่างอดทนของประชาคมโลก … นี่คือสถานการณ์จริง และพ่อไม่ได้พูดเกินจริง”
“แล้วสิ่งใดล่ะที่เป็นการสนองตอบที่จำเป็น ไม่เพียงแต่สำหรับนักกฎหมายเท่านั้น แต่สำหรับชายและหญิงทุกคนที่มีความตั้งใจดี … นี่คือคำถาม พ่อขออนุญาตเสนอประเด็นบางประการเพื่อการไตร่ตรองของท่าน”
“ประการแรก เราต้องปฏิเสธสงครามอย่างเด็ดขาด โดยไม่ใช้สงครามเป็นวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งหรือสร้างความยุติธรรม อย่าลืมว่า ‘ทุกสงครามทำให้โลกของเราแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้’ นี่คือความจริง สงครามคือความล้มเหลวของการเมืองและมนุษยชาติ เป็นการยอมแพ้อย่างน่าอับอาย เป็นความพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดต่อพลังแห่งความชั่วร้าย”
“ประการที่สองคือความจำเป็นในการอดทนและอดกลั้น นี่คือคุณธรรมของผู้กล้าหาญในการแสวงหาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสถานการณ์จะเอื้ออำนวยหรือไม่ก็ตาม โดยใช้วิธีการเจรจา การไกล่เกลี่ย และการตัดสินข้อพิพาทโดยคนกลาง”
“นอกจากนี้ ในฐานะนักกฎหมายคาทอลิกและผู้นำทางการเมือง ท่านคงคุ้นเคยกับการจัดการความขัดแย้งในระดับท้องถิ่นของชุมชนที่ท่านเป็นตัวแทนและรับใช้ แม้จะเป็นความขัดแย้งในขอบเขตที่เล็กกว่า แต่ก็อาจรุนแรงไม่แพ้กัน ในฐานะคริสตชน เราตระหนักว่ารากเหง้าของความขัดแย้ง การแตกแยก และการล่มสลายในสังคมนั้น ในที่สุดแล้วมาจากความขัดแย้งที่ลึกซึ้งในจิตใจมนุษย์ … อย่าลืมว่าเราไม่สามารถออกจากความขัดแย้งได้ด้วยตัวเอง เราสามารถออกมาได้เฉพาะร่วมกับผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีใครสามารถออกจากความขัดแย้งได้ด้วยตัวเอง”
“สุดท้ายนี้ … โลกของเราเหนื่อยล้ากับสงคราม แต่ดูเหมือนโลกไม่สามารถดำเนินไปได้โดยปราศจากสงคราม สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือการฟื้นฟูจิตวิญญาณแห่งความหวัง เช่นเดียวกับที่เคยนำไปสู่การสร้างความร่วมมือเพื่อสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง”
“พ่อขอให้ท่าน … จงเป็นพยานแห่งความหวัง โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ สงครามไม่ใช่ความหวัง สงครามไม่ได้ให้ความหวัง ขอให้ความทุ่มเทของท่านเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นแบบอย่างสำหรับเยาวชนของเรา”
“เป็นเรื่องสำคัญมากที่เยาวชนจะได้เห็นคนที่มีความหวังและอุดมการณ์ เพื่อเป็นแบบอย่างให้พวกเขา แทนที่จะเจอแต่ข่าวร้ายและความคิดแง่ลบที่มีอยู่ทั่วไป เราต้องไม่เพิกเฉยต่อข้อความที่มองโลกในแง่ร้ายเหล่านี้ เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อข้อความที่เย็นชาเหล่านี้ได้”
“ท้ายที่สุด การที่เราอยู่ในโลกที่มีสงครามที่มีวิกฤตและความขัดแย้งอย่างถาวร หมายความว่าเราต้องแสวงหาสติปัญญาและพลังที่จะมองให้ก้าวข้ามเมฆหมอกที่บังอยู่, อ่านสัญญาณที่แท้จริงของยุคสมัย และใช้ความหวังที่เกิดจากความเชื่อ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นให้ทำงานเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาว” พระสันตะปาปาตรัสในตอนท้าย
Source:
Comments
Post a Comment