โป๊ปฟรานซิสแบ่งปันชีวิตในอัตชีวิตประวัติเล่มใหม่ "Life: My Story Through History"

ผมมีโอกาสได้นั่งอ่านรีวิวหนังสือ Life: My Story Through History (แปลเป็นไทยน่าจะประมาณว่า “ชีวิตของข้าพเจ้า: การเดินทางผ่านกาลเวลา”) รู้สึกน่าสนใจดี แม้ช่วงหลายปีหลังจะไม่ได้อัพเดทข่าวเกี่ยวกับพระสันตะปาปาฟรานซิส เพราะต้องแบ่งเวลาไปโฟกัสธุรกิจ แต่เมื่อได้อ่านรีวิวแล้ว อยากนำมาเขียนจริงๆ




หนังสือเล่มนี้ เป็นอัตชีวประวัติเล่มใหม่ของพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งเขียนโดย ฟาบิโอ มาร์เคเซ่ ราโกน่า โดยพระสันตะปาปาได้ได้ทรงบอกเล่าถึงเรื่องราวชีวิตของพระองค์ตั้งแต่วัยเยาว์ ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่พระองค์ได้ประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 การลงจอดของมนุษย์บนดวงจันทร์ หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งพระองค์ไม่เพียงแค่ย้อนรำลึกความหลัง แต่ได้ชี้ให้เห็นบทเรียนสำคัญที่เราสามารถนำมาใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบัน พร้อมกับแบ่งปันความหวังที่พระองค์มีต่ออนาคตของพระศาสนจักรและมวลมนุษยชาติ


หนึ่งในประเด็นเด่นของหนังสือเล่มนี้ คือการที่พระสันตะปาปาทรงย้ำเตือนให้เราไม่ลืมบทเรียนอันขมขื่นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อต้านความเกลียดชังในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิต่อต้านชาวยิว การเหยียดเชื้อชาติ หรือการเลือกปฏิบัติ พระองค์ทรงเน้นย้ำศักดิ์ศรีของชีวิตมนุษย์ทุกคน และภัยของอาวุธที่พัฒนามาเพื่อการทำลายชีวิต โดยเฉพาะการปฏิเสธการทำแท้ง ซึ่งพระองค์ทรงเปรียบเหมือนอาชญากรรมการฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์


พระสันตะปาปายังทรงแสดงความเห็นใจและเรียกร้องให้เปิดใจต้อนรับผู้อพยพ ในฐานะพี่น้องร่วมโลกที่พยายามแสวงหาอนาคตที่ดีกว่าให้ครอบครัวของตน ซึ่งเดิมทีพระองค์เองก็ทรงเติบโตมาในครอบครัวของผู้อพยพเช่นกัน


หนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจคือ ช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเป็นเยาวชนเยสุอิต ได้ร่วมเฝ้าชมการถ่ายทอดสดภารกิจอพอลโล 11 เมื่อปี 1969 ซึ่งนีล อาร์มสตรองได้กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบดวงจันทร์ พระสันตะปาปาทรงบรรยายความรู้สึกตื่นเต้นและทึ่งในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการสำรวจอวกาศ พร้อมกับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด


อย่างไรก็ตาม พระสันตะปาปาทรงเน้นย้ำว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นจำเป็นต้องเดินควบคู่กับคุณธรรมและจริยธรรม พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีเป็นดาบสองคม ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งเพื่อประโยชน์และโทษ โดยเฉพาะการพัฒนาอาวุธที่ทันสมัยและทำลายล้างสูง ซึ่งขัดกับหลักการเคารพชีวิตมนุษย์


พระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้ผู้นำโลกใช้ผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน รวมทั้งปกป้องโลกใบนี้อย่างยั่งยืน มากกว่าที่จะนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือสงครามเท่านั้น


อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ คือการที่พระสันตะปาปาทรงแบ่งปันความฝันที่มีต่อศาสนจักรในอนาคต พระองค์ทรงอธิบายถึงภาพในอุดมคติของ "ศาสนจักรผู้รับใช้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน" ที่พร้อมจะโอบกอดทุกคนด้วยความรัก ปราศจากการตัดสินหรือกีดกัน หากเป็นศาสนจักรที่เปิดกว้างและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือเพศสภาพ พระองค์ยังทรงให้กำลังใจแก่คนหนุ่มสาวและผู้หญิงให้มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในศาสนจักรด้วย


แม้จะมีหลายประเด็นอ่อนไหวในหนังสือ แต่พระสันตะปาปาก็ทรงนำเสนอมุมมองของพระองค์ด้วยความจริงใจและเปิดกว้าง เช่น ทรงปกป้องมติล่าสุดที่อนุญาตให้สงฆ์ให้พรแก่คู่รักเพศเดียวกันได้ แม้จะยืนยันว่าไม่ใช่การให้พรศีลสมรส แต่ก็เน้นว่าคู่รักเหล่านี้ควรได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของพระองค์ในการเปิดพระศาสนจักรสู่กลุ่ม LGBTQ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางบริบทคำสอนดั้งเดิมของคริสตศาสนา

ท้ายที่สุด สิ่งหนึ่งที่พระสันตะปาปาทรงฝากไว้ในหนังสือเล่มนี้ก็คือ ความหวังและกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า นั่นคือ การเพิ่มพูนความรักและคำอธิษฐานภาวนา พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์และตั้งคำถามว่า โลกจะแตกต่างไปจากเดิมมากเพียงใด ถ้าผู้คนถูกขับเคลื่อนด้วยความกรุณา แทนที่จะเป็นความโลภและกระหายอำนาจ นี่คือคำถามที่ท้าทายให้เราทุกคนตระหนักและลงมือเปลี่ยนแปลง แล้วเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่สดใสร่วมกัน

โดยรวมแล้ว หนังสือ Life: My Story Through History เป็นงานเขียนที่ไม่เพียงแค่บอกเล่าชีวประวัติของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยทัศนะและคุณค่าที่ล้ำลึกต่อชีวิตและต่อโลก ผ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันเข้มข้น ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งและความเปราะบางของสังคม


ปัจจุบัน เสียงของพระสันตะปาปานับเป็นเสียงเรียกร้องสู่ความรัก ความเมตตา และการมีส่วนร่วมของทุกคน ในการสร้างอารยธรรมแห่งสันติ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ควรค่าแก่การศึกษาและนำไปคิดทบทวนสำหรับผู้ที่อยากจะทำความเข้าใจชีวิตและความคิดของบุคคลสำคัญผู้นี้อย่างลึกซึ้ง ก่อนที่มันจะสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตและสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่สังคมต่อไป


Comments