สรุปประเด็นหลักที่โป๊ปฟรานซิสตรัสกับโรมันคูเรีย โอกาสคริสต์มาส 2020

สรุปประเด็นหลักที่โป๊ปฟรานซิสตรัสกับโรมันคูเรีย โอกาสคริสต์มาส 2020 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2020

Photo: Vatican Media



1) พระสันตะปาปาตรัสว่า นี่คือคริสต์มาสในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 วิกฤตินี้ทำร้ายคนทั้งโลกแบบไม่มีแบ่งแยกชนชั้น การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นช่วงเวลาของการทดลองและทดสอบ และยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการกลับใจด้วย

2) การไตร่ตรองเรื่องวิกฤติ (Crisis) ย้ำเตือนเราว่า อย่าด่วนตัดสินพระศาสนจักรเร็วเกินไปในเรื่องวิกฤติที่เกิดจากความเสื่อมเสียทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความแตกต่างเดียวก็คือปัญหาจะจบลงตามหน้าหนังสือพิมพ์แบบด่วนๆ ขณะที่เครื่องหมายแห่งความหวังจะเป็นข่าวแบบช้าๆ ดังนั้น เราต้องรวบรวมความกล้าและความสุภาพถ่อมตนที่จะยอมรับว่า ช่วงเวลาวิกฤติคือช่วงเวลาของพระจิตจะทำงาน

พระสันตะปาปายกตัวอย่างในพระคัมภีร์หลายตอน หนึ่งในนั้นคือวิกฤติที่เกิดกับ จอห์น บัปติสตา ตอนที่ถูกจองจำในคุก จอห์นเริ่มสงสัยว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์จริงหรือเปล่า (มธ 11:2-6) เพราะภาพลักษณ์ของพระเมสซิยาห์ในความคิดของจอห์น กับสิ่งที่พระเยซูปฏิบัตินั้น มันขัดกันสิ้นเชิง

3) จบจากวิกฤติ ก็เป็น "ความขัดแย้ง" (Conflict) พระสันตะปาปาย้ำว่า เราต้องอย่าสับสนระหว่างวิกฤติกับความขัดแย้ง เพราะโดยทั่วไปแล้ว วิกฤติจะทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวก ขณะที่ความขัดแย้งจะก่อให้เกิดความไม่ลงรอยกันและการชิงดีชิงเด่น ภายใต้ความขัดแย้ง จะมีฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ชนะ

ความขัดแย้งคือการทดลองปลอมๆ ที่นำเราให้หลงทางและตกอยู่ในหุบเขาวงกต ความขัดแย้งทำให้เราสูญเสียพลังงานไปเปล่าๆ และเป็นโอกาสให้ปีศาจโจมตีเรา

ปีศาจตัวแรกที่สร้างความขัดแย้งคือ "การซุบซิบนินทา" มันคือการทำให้ วิกฤติ (Crisis) กลายเป็น ความขัดแย้ง (Conflict)

4) พระสันตะปาปาพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันในพระศาสนจักรว่า ถูกคนมองว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้น เช่น ฝ่ายขวาสู้ฝ่ายซ้าย, พวกหัวก้าวหน้าสู้หัวอนุรักษ์นิยม เรื่องพวกนี้ทำให้พระศาสนจักรแตกแยกและแบ่งเป็นสองฝ่าย นี่คือการบิดเบือนและทรยศธรรมชาติของพระศาสนจักร เพราะพระศาสนจักรต้องไม่กลายสภาพเป็นร่างในความขัดแย้งของผู้ชนะและผู้แพ้

5) พระสันตะปาปาบอกว่า "สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดจากวิกฤติและเป็นผลจากการทำงานของพระจิต" ไม่ใช่ของใหม่ที่ไปคัดค้านของเก่า แต่มันคือการผลิดอกออกผลจากของเก่าและต่อยอดให้เกิดผลต่างหาก

6) ทุกวิกฤติมีความต้องการที่ชอบธรรมสำหรับการฟื้นฟูและความกล้าที่จะเปิดกว้างออกมา เราต้องหยุดมองว่าการปฏิรูปพระศาสนจักรเป็นเหมือนการปะเสื้อผ้าเก่า เพราะเราไม่ได้ถูกเรียกมาเพื่อเปลี่ยนหรือปฏิรูปร่างกายของพระคริสต์ แต่พวกเราถูกเรียกมาให้สวมเสื้อใหม่ให้พระศาสนจักร เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พระหรรษทานที่เรามีนั้น ไม่ได้มาจากเราเอง แต่มาจากพระเจ้า

7) พระสันตะปาปาสรุปว่า วิกฤติคือเวลาแห่งพระหรรษทานที่ทำให้เราแยกแยะพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราแต่ละคนและสำหรับพระศาสนจักร ในวิกฤติ ไม่ง่ายเลยที่จะสวดภาวนา แต่เราต้องสวดภาวนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น มันเป็นการดีที่เราจะหยุดคิดเรื่องความขัดแย้งและรู้สึกให้มากขึ้นว่า เรากำลังเดินทางร่วมกัน

Comments