โป๊ปฟรานซิสหวังเห็นคริสตชนไม่ฉกฉวยผลประโยชน์เพื่อตัวเองในช่วงวิกฤติ

  • สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงเชิญภาวนาเพื่อเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของสิ่งยั่วยวน ซึ่งทำให้แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองในวิกฤติโรคระบาด
  • ทรงแบ่งปัน กระบวนการประจญล่อลวงให้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเกิดขึ้น 3 ขั้นตอน และทั้งหมดนี้ก็ยังเกิดในยุคปัจจุบันด้วย 
  • ขั้นตอนที่หนึ่ง เริ่มด้วยความกระวนกระวายและจ้องจับผิด เพราะพระเยซูทำให้พวกเขาเสียหน้า 
  • ขั้นตอนที่สอง แพร่เชื้อความคิดร้ายๆ ไปให้คนอื่นติดด้วย 
  • ขั้นตอนที่สาม สร้างบทสรุปด้วยการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ถ้าพระเยซูตายคนเดียว ดีกว่าชนทั้งชาติจะพินาศไป 

Copyright: Vatican Media



ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซานตา มาร์ธา ช่วงเริ่มพิธี พระสันตะปาปาทรงเชิญทุกคนภาวนาเพื่อที่ตัวเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของสิ่งยั่วยวนต่างๆ ที่ดึงดูดให้เราแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองในเวลาสังคมเผชิญวิกฤติโรคระบาด

พระสันตะปาปาตรัสว่า "ในช่วงเวลาของความสับสนวุ่นวาย ความยากลำบาก และความทุกข์ระทมนี้ คนเรามีโอกาสจะทำสิ่งดี ส่วนบางคนก็อาจมีความคิดจะทำสิ่งไม่ดีเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์เข้าตัวเองในสถานการณ์นี้ ดังนั้น พวกเราภาวนาวันนี้เพื่อขอพระเจ้าโปรดประทานมโนธรรมที่ซื่อตรงและโปร่งใสให้แก่ทุกคน เพื่อที่ว่า พวกเขาจะยอมให้พระเจ้ามองมายังพวกเขาโดยไม่ต้องรู้สึกอับอายต่อบาปที่ทำ"

พระวรสารวันนี้ เป็นเหตุการณ์ที่หัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีอ้างเหตุผลว่า พระเยซูทำอัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ประชาชนเชื่อและติดตามพระองค์ ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ชาวโรมันจะมาทำลายพวกเขาแน่ ดังนั้น การตัดปัญหาคือการจับกุมและประหารชีวิตพระเยซู 

พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันว่า "การประจญล่อลวงในจิตใจที่เกิดกับหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี เริ่มด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย มันเริ่มตั้งแต่ตอนพวกเขาจ้องจับผิดจอห์น แบ๊พติสต์ แต่ตอนนั้น จอห์นไม่ได้ทำร้ายพวกเขา พวกสมณะและฟาริสีจึงไม่ทำอะไร แต่กับพระเยซู มันต่างกัน เมื่อพระองค์เริ่มทำเครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง เหนือสิ่งอื่นใด พระเยซูเริ่มเทศน์สอนผู้คน และพวกเขาเริ่มติดตามพระองค์ พระเยซูไม่ได้เชื่อฟังและทำตามพวกสมณะและฟาริสี และสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้พวกสมณะและฟาริสีกระวนกระวายใจอย่างมาก 

"จากนั้น บททดสอบที่พระเยซูต้องเผชิญก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งพวกเขาก็ถามคำถามตรงๆ ใส่พระองค์ แต่ผลที่ตามมากลายเป็นว่า ปรีชาญาณของพระองค์ทำให้พวกเขาต้องอับอาย เหมือนเคสที่พวกเขาถามพระองค์เกี่ยวกับหญิงที่มีสามีเจ็ดคน (แม็ทธิว 22:23-34) หรือจะเป็นเรื่องหญิงที่ทำผิดประเวณี (จอห์น 8:1-11) เมื่อคำถามท้าทายพระเยซูมากขนาดนี้ยังดูไม่เวิร์ค พวกเขาก็ส่งทหารมาจับกุมพระองค์ แม้ว่าพวกเขาจะเกิดความประทับใจในสิ่งที่พระเยซูสอน บางคนเชื่อในพระองค์ แต่บางคนก็ไปรายงานให้พวกผู้มีอำนาจหาทางจับกุมพระองค์

"ที่สุดแล้ว มันก็มาถึงบทสรุป นั่นคือ มหาสมณะตัดสินใจว่าต้องกำจัดพระเยซู เขาพูดว่า 'พระเยซูเป็นบุคคลอันตราย เราต้องตัดสินใจกันแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป เราจะทำอะไรดี ชายคนนี้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชนชาติของเรา' นี่เป็นความจริงแค่บางส่วน แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มันคือการหาเหตุผลมาสนับสนุนตัวเอง

"พระวรสารวันนี้เราได้เห็นกระบวนการประจญล่อลวงที่ทำงานในยุคของพระเยซู และแน่นอน มันก็เป็นรูปแบบที่บอกว่า การประจญทำงานอย่างไรในตัวเราด้วยเช่นกัน มันเริ่มด้วยความต้องการหรือความคิดเล็กๆ (จ้องจับผิด) จากนั้น มันก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มแพร่เชื้อไปให้คนอื่น ที่สุดแล้ว เราก็หาเหตุผลมาสนับสนุนตัวเอง

"อย่างไรก็ตาม มันมียาถอนพิษการประจญล่อลวง ยาที่ว่าคือการระบุขั้นตอนต่างๆ ที่เกิดในตัวเรา ขั้นตอนที่มันเปลี่ยนจิตใจของเราจากดีเป็นชั่ว ... และเมื่อเราตระหนักได้แล้วว่าเราตกอยู่ในบาป เราต้องวอนขอพระเจ้าโปรดอภัยความผิดให้เรา นี่เป็นแค่ขั้นแรกนะ ขั้นต่อมาคือเราต้องถามตัวเองว่า 'เราถลำเข้าไปในความคิดนี้ได้อย่างไร' เรื่องนี้เข้ามาในจิตวิญญาณเราตั้งแต่ตอนไหน เราไปติดเชื้อนี้มาจากใคร สุดท้าย เราหาเหตุผลมาสนับสนุนตัวเองให้ทำเรื่องแย่ๆ แบบนี้ได้อย่างไร" พระสันตะปาปาตรัสในช่วงท้าย

Comments