โป๊ปฟรานซิส: "ความเชื่อคือการดำเนินชีวิตเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้า เพื่อให้คนต่างศาสนาประทับใจ"

  • สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงสอน การมีความเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่การบังคับหรือโน้มน้าวคนอื่นเปลี่ยนศาสนา แต่การมีความเชื่อคือการดำเนินชีวิตเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้า เพื่อให้คนต่างศาสนาประทับใจและสนใจพระองค์ 
  • ทรงชี้ ความเชื่อในพระเจ้าต้องถูกถ่ายทอดด้วยการก้าวออกจากตัวเองและไปรับใช้คนอื่น ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าอยู่คนเดียวและนิ่งอยู่กับที่
  • ทรงแบ่งปัน มีนักเรียนถามพระองค์ว่า "ผมมีเพื่อนหลายคนไม่มีศาสนา ผมจะทำอะไรได้บ้างเพื่อโน้มน้าวพวกเขาให้มาหาพระ" พระสันตะปาปาตอบกลับไปว่า "ไม่ต้องทำอะไร แต่จงดำเนินชีวิตเป็นด้วยการเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้า และเพื่อนจะมาถามเราด้วยความประทับใจเองว่า 'ทำไมนายถึงใช้ชีวิตแบบนี้'"
  • ทรงชวนทุกคนโอกาสฉลองนักบุญมาร์โก ถ้ามีเวลา อยากให้อ่านพระวรสารของนักบุญมาร์โก เพราะท่านใช้ภาษาเรียบง่าย เหมาะกับการไตร่ตรองเรื่องราวของพระเยซู


Photo: Vatican Media



ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซานตา มาร์ธา ความพิเศษของวันนี้ ศาสนจักรคาทอลิกกำหนดให้เป็นวันฉลองนักบุญมาร์โก ผู้นิพนธ์พระวรสาร ช่วงเริ่มพิธี พระสันตะปาปาเชิญทุกคนภาวนาเป็นพิเศษให้คนที่ทำงานบริการจัดการงานศพด้วย

พระวรสารประจำมิสซานี้ พระเยซูทรงกล่าวกับบรรดาศิษย์ก่อนเสด็จขึ้นสวรรค์ว่า "ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง" (มาร์โก16:15-20)

พระสันตะปาปาเริ่มบทเทศน์ด้วยการกล่าวถึงนักบุญมาร์โกว่า "วันนี้ ศาสนจักรฉลองนักบุญมาร์โก หนึ่งในสี่ผู้นิพนธ์พระวรสาร พระวรสารของนักบุญมาร์โกเป็นเล่มแรกที่ถูกเขียน พระวรสารของท่านเป็นแบบเรียบๆ ใช้ภาษาง่ายๆ ถ้าวันนี้พวกท่านมีเวลา พ่ออยากให้อ่านพระวรสารของนักบุญมาร์โก เพราะมันไม่ยาวเกินไป พ่ออยากให้อ่านดูเรื่องราวที่นักบุญมาร์โกบรรยายถึงชีวิตของพระเยซู"

จากนั้น พระองค์ทรงแบ่งปันพระวรสารประจำมิสซานี้ ใจความสำคัญมีว่า "ความเชื่อไม่ใช่บางสิ่งสำหรับใครคนเดียว แต่ความเชื่อคือการส่งออกไป คนๆหนึ่งจะเจริญเติบโตทางความเชื่อได้นั้น เขาต้องก้าวออกจากตัวเองไปหาคนอื่น ความเชื่อต้องได้รับการถ่ายทอดออกไป ต้องส่งมอบให้คนอื่น เหนือสิ่งอื่นใด ความเชื่อคือการเป็นพยานยืนยันถึงสิ่งนั้น

"มีบาดหลวงในทวีปยุโรปนี่แหละมาบอกพ่อว่า 'พระสันตะปาปาครับ ในเมืองของผมมีคนไม่เชื่อพระเจ้าเยอะมาก คริสตชนที่นี่ขาดความเชื่อ' ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันขาดจิตวิญญาณของการออกไปประกาศข่าวดี ... อย่างที่พ่อบอกไป ความเชื่อคือบางสิ่งที่เราต้องมอบให้คนอื่น เหนือสิ่งอื่นใดเราต้องเป็นพยานยืนยัน การยืนยันว่าเป็นคริสตชนหรือเป็นคาทอลิกบนบัตรประชาชนมันก็แค่ข้อมูล มันเป็นเหมือนวัฒนธรรม แต่มันไม่ใช่ความเชื่อ เพราะความเชื่อจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำเราก้าวออกไปมอบสิ่งนี้ให้คนอื่น ความเชื่อต้องถูกส่งมอบ ไม่ใช่นิ่งเงียบอยู่กับที่

"การเป็นธรรมทูตประกาศข่าวดีไม่ใช่แค่การออกไปยังพื้นที่ห่างไกล แต่มันยังหมายความว่า ถ้าคุณมีความเชื่อ คุณต้องก้าวออกจากตัวเองและแสดงความเชื่อนั้นในสังคม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความถึงการบังคับคนให้เปลี่ยนศาสนา มันไม่เหมือนกับการรับสมัครคนเข้าทีมฟุตบอลหรืองานการกุศล ไม่ใช่เลย! ความเชื่อคือการเผยแสดงต่างหาก พระจิตจะทำงานในตัวเราให้เผยแสดงความเชื่อผ่านการเป็นประจักษ์พยานด้วยการรับใช้ การรับใช้คือหนทางของชีวิต

"ถ้าเราพูดว่าเราเป็นคริสตชนและดำเนินชีวิตเหมือนคนไม่มีพระเจ้า มันไม่เกิดประโยชน์หรอก เพราะมันไม่ได้ทำให้ใครเชื่อมั่นเราเลย ตรงกันข้าม ถ้าเราเป็นคริสตชนและดำเนินชีวิตดุจคริสตชนจริงๆ คนอื่นจะประทับใจ นี่คือการเป็นพยานยืนยัน

"ที่โปแลนด์ มีนักเรียนคนหนึ่งถามพ่อว่า 'ที่มหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อนหลายคนไม่มีศาสนา ผมจะทำอะไรได้บ้างเพื่อโน้มน้าวพวกเขาให้มาหาพระครับ' พ่อตอบว่า 'ไม่ต้องทำอะไร! (พระสันตะปาปาใช้คำว่า Niente, caro, niente!) สิ่งสุดท้ายที่ลูกต้องทำคือพูดกับพวกเขา' จงเริ่มดำเนินชีวิตเป็นด้วยการเป็นประจักษ์พยาน และเพื่อนจะมาถามเราเองว่า 'ทำไมนายถึงใช้ชีวิตแบบนี้' ความเชื่อต้องได้รับการถ่ายทอด ไม่ใช่โน้มน้าว แต่ต้องมอบให้กันเสมือนสิ่งล้ำค่า

"อีกสิ่งสำคัญคือความสุภาพถ่อมตนที่นักบุญเปโตรเขียนไว้ในบทอ่านแรกของวันนี้ 'จงมีความถ่อมตนต่อกัน' (1 เปโตร 5:5) กี่ครั้งแล้วในศาสนจักร ในประวัติศาสตร์ ในกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่เราเห็นการต้องการโน้มน้าวให้คนเปลี่ยนความเชื่อ การบังคับคนเปลี่ยนศาสนา จุดจบมันเป็นเช่นไร จบแบบไม่ดีทั้งนั้น

"ขอให้เราภาวนาต่อพระเจ้าโปรดช่วยเราดำเนินชีวิตในความเชื่อ ความเชื่อที่มาจากการเปิดตัวเอง ความเชื่อที่โปร่งใส ไม่ใช่บังคับคนอื่นให้เชื่อตาม แต่เป็นความเชื่อที่ผ่านการแสดงออกว่า 'เราเป็นแบบนี้แหละ' มันจะทำให้คนอื่นสนใจ และช่วยพวกเขาได้รับสารที่จะช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากบาปด้วย" พระสันตะปาปาตรัสปิดท้าย

Comments