โป๊ปฟรานซิส "ในสถานการณ์โรคระบาด นี่คือเวลาสำหรับความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ"

  • สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงประทานการสัมภาษณ์พิเศษแก่ ดร.ออสเทน ไอเวอร์เรจห์ นักข่าวสายวาติกันชาวอังกฤษ
  • ทรงย้ำ ในสถานการณ์โรคระบาด นี่คือเวลาสำหรับความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่านิ่งเฉยไม่ทำอะไร สิ่งที่พระองค์ทำคือสั่งให้มีการถ่ายทอดสดมิสซาเช้าทางออนไลน์และจัดการประทานพรแด่โรมและโลกเป็นกรณีพิเศษ เพราะนี่คือการเดินร่วมทางและใกล้ชิดกับคริสตชนที่กำลังเดือดร้อน
  • ทรงสอน ในวิกฤตินี้ "พระเจ้าไม่ปล่อยให้อัศจรรย์เสร็จแบบครึ่งๆ กลางๆ" ถ้าเราให้ความร่วมมือกับบรรดา "นักบุญข้างบ้าน" ทำตามคำแนะนำของท่านเหล่านั้น เช่น หมอและพยาบาล อัศจรรย์จะเกิด และเราจะเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมทำงานนี้ด้วย 
  • ทรงชี้ วิกฤติครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจน ทุกคนโดนหมด แต่สิ่งน่ากังวลคือวิกฤตินี้จะทำให้เรากลายเป็นคนเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหาที่คนอื่นกำลังประสบ ตัวอย่างชัดๆ คือ นักการเมืองที่ปากพูดถึงการแก้ปัญหาความอดอยาก แต่มือยังค้าขายอาวุธสงครามต่อไป

พระสันตะปาปาในการประทานพรแด่โรมและโลก 27 มีนาคม 2020/ Photo: Vatican Media


ปลายเดือนมีนาคม 2020 ดร.ออสเทน ไอเวอร์เรจห์ นักข่าวสายวาติกันชาวอังกฤษ ได้ขออนุญาตสัมภาษณ์สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ผ่านทางคำถามที่เตรียมไว้และส่งให้พระสันตะปาปาทางอีเมล จากนั้นไม่นาน พระสันตะปาปาทรงบันทึกเสียงสัมภาษณ์และส่งกลับมาให้ดร.ไอเวอร์เรจห์ นำมาตีพิมพ์ลง "เดอะ แท็บเล็ต" นิตยสารคาทอลิกของอังกฤษ ใจความสำคัญของบทสัมภาษณ์ Pope Report ได้เรียบเรียงมาให้ทุกท่านติดตามกัน

คำถามแรก ดร.ไอเวอเรจห์ ถามพระสันตะปาปาว่า พระองค์เจออะไรบ้างในช่วงโรคระบาดและมีคำสั่งปิดเมือง ในหอพักซานตา มาร์ธา และโรมันคูเรีย ทำอย่างไรบ้างทั้งชีวิตฝ่ายจิตและชีวิตการงาน

พระสันตะปาปาตอบว่า ในโรมันคูเรีย ทุกคนพยายามทำงานตามปกติ เพียงแต่มีการสับเปลี่ยนเวลาเข้างานเป็น 2 รอบ เพื่อจะได้ไม่ต้องมารวมตัวกันเยอะแบบพร้อมหน้ากัน นอกจากนี้ มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายอย่างเคร่งครัดโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่วนในหอพักซานตา มาร์ธา ก็มีการแบ่งรอบการทานอาหารออกเป็น 2 รอบต่อหนึ่งมื้อ ทุกคนทำงานตามปกติด้วยการใช้เทคโนโยลีจากออฟฟิศของตนหรือจากห้องพัก ไม่มีคนอู้งานในนี้หรอก

ส่วนเรื่องชีวิตจิต พระสันตะปาปาบอกว่า พระองค์ภาวนามากขึ้นกว่าเดิมเพราะนี่คือสิ่งจำเป็น พระองค์คิดถึงหน้าที่ความรับผิดชอบและสิ่งที่จะต้องทำต่อจากนี้ในฐานะผู้นำศาสนจักร 

พระสันตะปาปาเล่าว่า พระองค์เป็นกังวลมากว่าจะเดินร่วมทางและใกล้ชิดกับประชากรของพระเจ้าผ่านทางวิธีไหนได้บ้าง อย่างน้อย มันมีสิ่งที่พระองค์ทำแล้วก็คือผ่านทางมิสซาเช้าที่มีการถ่ายทอดผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงพระดำรัสเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2020 ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร (การประทานพรแด่โรมและโลกเป็นกรณีพิเศษ) 

พระสันตะปาปาย้ำว่า ในช่วงเวลาของความไม่แน่นอนอย่างยิ่งเช่นนี้ มันคือเวลาสำหรับการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และเป็นเวลาสำหรับความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ของคริสตชนจำเป็นต้องแสดงออกด้วยการเปิดน่านฟ้าใหม่ เปิดหน้าต่างออกหาพระเจ้าและคนอื่นๆ เราต้องแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์เวลาอยู่บ้าน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกกักตัวอยู่ในบ้านตัวเอง 

ดร.ไอเวอเรจห์ ถามพระสันตะปาปาต่อไปว่า เราได้เห็นนโยบายภาครัฐในการแก้ปัญหาวิกฤติ การสั่งประชาชนอยู่บ้านเพื่อกักกันตัวเองคือเครื่องหมายบอกว่า รัฐบาลบางประเทศยอมให้เศรษฐกิจเสียหาย มากกว่ายอมให้ประชาชนของตนต้องเจ็บป่วยล้มตายมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นเช่นกันว่ายังมีคนที่ถูกกีดกันอยู่ และมันดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ พระองค์คิดอย่างไร

พระสันตะปาปาตอบว่า ปัจจุบัน คนเร่ร่อนก็ยังเป็นคนเร่ร่อน ภาพข่าวที่ปรากฏหลายวันก่อน ณ ลานจอดรถในลาส เวกัส ซึ่งคนเร่ร่อนถูกนำไปกักกันตัวตรงนั้น ขณะที่โรงแรมมีห้องว่างเต็มไปหมด แต่คนเร่ร่อนไม่สามารถไปพักในโรงแรมเหล่านั้นได้ นี่คือวัฒนธรรมทิ้งขว้างในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง

คำถามต่อไปคือพระสันตะปาปามองวิกฤติและความเสียหายทางเศรษฐกิจนี้ เป็นการลงโทษเพื่อให้มนุษย์ได้ประพฤติตัวใหม่ต่อระบบนิเวศน์หรือเปล่า

พระสันตะปาปาตอบว่า มันมีคำกล่าวในภาษาสแปนิชว่า "พระเจ้าให้อภัยเสมอ มนุษย์ให้อภัยบางครั้ง แต่ธรรมชาติไม่เคยให้อภัย" ลองดูไฟป่าในออสเตรเลีย หรือจะเป็นเรือขนสินค้าสามารถแล่นข้ามขั้วโลกเหนือได้ เพราะธารน้ำแข็งยักษ์ละลาย หรือจะเป็นน้ำท่วม พ่อไม่รู้หรอกว่ามันคือการแก้แค้นจากธรรมชาติหรือไม่ แต่มันคือการโต้ตอบของธรรมชาติอย่างแน่นอน

พระสันตะปาปายังบอกอีกว่า วิกฤติครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ไม่ว่าจะรวยหรือจน ทุกคนโดนหมด พระองค์กังวลว่าวิกฤตินี้จะทำให้เรากลายเป็นคนเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหาคนอื่น เช่น นักการเมืองที่ปากพูดถึงการเผชิญหน้าวิกฤติความอดอยาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ผลิตอาวุธสงครามต่อไป

ในวิกฤติทุกประเภท พระสันตะปาปาบอกว่า มันมีทั้งภัยอันตรายและโอกาสใหม่ๆ พระองค์คิดว่าตอนนี้มีโอกาสให้เราได้ทบทวนว่า เราควรจะชะลออัตราการผลิตและบริโภคลงบ้าง เพื่อเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และไตร่ตรองธรรมชาติของโลก นี่คือโอกาสในการกลับตัวกลับใจประพฤติตัวใหม่ 

วิกฤติโควิด-19 พระสันตะปาปายังย้ำคำเดิมว่า นี่คือเวลาที่เราได้เห็น "นักบุญข้างบ้าน" (The Saints next door) ท่านเหล่านี้คือคุณหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ขนส่งมวลชน พนักงานขายของตามร้านต่างๆ รวมถึงซิสเตอร์และบาดหลวงที่ทำงานดูแลคนป่วย ท่านเหล่านี้คือคนที่ต้องมาทำงานเพื่อให้สังคมเดินหน้าต่อไป

พระสันตะปาปาบอกว่า มีคนกล่าวไว้ "พระเจ้าไม่ปล่อยให้อัศจรรย์เสร็จแบบครึ่งๆ กลางๆ" ถ้าเรารับรู้อัศจรรย์นี้จากบรรดานักบุญข้างบ้าน ถ้าเราเดินตามทางของพวกเขา อัศจรรย์จะบังเกิดด้วยดีและจะดีกับทุกฝ่าย พระเจ้าไม่เคยปล่อยให้งานของพระองค์เสร็จครึ่งๆ กลางๆ เราจะเป็นคนที่ร่วมทำงานนี้ด้วย 

คำถามถัดไปคือ ผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ ศาสนจักรจำเป็นต้องมาคิดวิธีการทำงานของเราใหม่หรือไม่ พระสันตะปาปาได้เห็นศาสนจักรที่มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีการแพร่ธรรมมากขึ้น และไม่ยึดติดกับตัวสถาบันมากขึ้นไหม พระองค์คิดอย่างไรกับรูปแบบใหม่อย่าง "ศาสนจักรทางบ้าน" (Home Church)

พระสันตะปาปาตอบว่า ไม่อยากให้พูดว่าไม่ยึดติดกับตัวสถาบัน (De-Institutionalised Church) แต่พระองค์ขอพูดว่าอย่าไปยึดติดกับวิธีการคิดบางอย่างจะดีกว่า ศาสนจักรคือสถาบัน พระจิตทรงสร้างศาสนจักรขึ้นมา (The Church is institution. It is the Holy Spirit who institutionalised the Church.)

ส่วนเรื่องศาสนจักรทางบ้าน มันเป็นเรื่องที่เราต้องมีปฏิกิริยากับการถูกกักตัวอยู่ในบ้านด้วยความคิดสร้างสรรค์ เราสามารถหดหู่และแตกแยกกันผ่านสื่อที่นำเราให้ออกจากความจริง หรือเราสามารถเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้

สุดท้าย ดร.ไอเวอเรจห์ ถามว่า พระสันตะปาปามีสิ่งใดอยากบอกเป็นพิเศษไปยังผู้สูงอายุที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวไหม รวมถึงบอกกับเยาวชนที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน

พระสันตะปาปาตอบว่า ผู้สูงอายุคือบรรพบุรุษของเรา พวกท่านต้องคุยกับลูกหลาน ความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้สูงอายุกับลูกหลานจะได้รับการขจัดให้หมดไปด้วยการพบหน้าพูดคุยกัน 

ส่วนบรรดาเยาวชนคนรุ่นใหม่ พระสันตะปาปาขอให้พวกเขามองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง จงกล้าคิดกล้าฝันอยู่เสมอ


Original Text: The Tablet



Comments