โป๊ปฟรานซิสสอนเรื่องความหวังและความกล้าในคืนเสาร์ศักดิ์สิทธิ์

  • สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงสอนเรื่อง "ความหวัง" และ "ความกล้า" ในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ 
  • จงมีความหวังแบบสตรีที่วิ่งไปคูหาฝังศพ แม้จิตใจจะเศร้าหนัก เพราะเห็นความตายของพระเยซูและไม่รู้ว่าตัวเองจะเจอแบบนั้นไหม แต่สตรีเหล่านี้ไม่สิ้นหวังจนแน่นิ่ง ในช่วงเวลาที่สังคมกำลังหดหู่ เราต้องทำตัวเหมือนสตรีเหล่านี้ที่ทำหน้าที่ต่อไป เพื่อนำความหวังมามอบให้สังคม
  • ทรงสอน เราอย่าไปจำนนต่อความกลัว แต่จงมีความหวัง ความหวังสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่มีใครพรากจากเราได้
  • ทรงย้ำ เราจะมีความกล้าต่อเมื่อเรากลิ้งหินที่ปิดจิตใจเราออกไปจนหมด แม้เป็นหินก้อนเล็กที่สุด เราก็ต้องนำออกไป และความกล้าจะเกิดขึ้น


Photo: Vatican Media


คืนวันเสาร์ที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงเป็นประธานในพิธีคืนตื่นเฝ้าปาสกา วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ช่วงเริ่มพิธี พระสันตะปาปาได้ทรงทำพิธีเสกไฟที่พระแท่นใจกลางของมหาวิหาร จากนั้น ทรงร่วมขบวนแห่เพื่อเริ่มพิธีต่อไป

สำหรับใจความสำคัญของบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาทรงเน้นเรื่อง "ความหวัง" และ "ความกล้าหาญ" ซึ่งเป็นสองสิ่งที่พระเยซูทรงมอบให้ศิษย์ของพระองค์ทุกยุคสมัย

พระสันตะปาปาตรัสว่า "'หลังจากวันสับบาโต สตรีเหล่านั้น (มารีอา ชาวมักดาเลนา และมารีอาอีกผู้หนึ่ง) ไปดูพระคูหา' นี่คือสิ่งที่พระวรสารในคืนตื่นเฝ้าเริ่มต้นไว้ เริ่มด้วยวันสับบาโต มันคือวันหนึ่งในตรีวารปาสกาที่เราดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจคล้ายกับว่า เราตั้งหน้าตั้งตารอการข้ามผ่านจากไม้กางเขนในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้ไปยังการร้องอัลเลลูยาในวันอาทิตย์ปาสกา อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ เรากำลังพบกับความเงียบงันอันใหญ่หลวงของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าที่เคยเป็น เราสามารถจินตนาการถึงตัวเองเมื่อต้องเป็นสตรีเหล่านี้ในวันนั้นได้เลย พวกเธอก็เหมือนกับเราที่พบความทุกข์ระทมมาก่อน พบกับเรื่องร้ายที่ไม่คาดคิดซึ่งเกิดแบบไม่ทันตั้งตัว พวกเธอได้เห็นความตายและมันทำให้เกิดความทุกข์ระทมในจิตใจ ความทุกข์ถูกผสมด้วยความกลัว ความกลัวว่าพวกเธอต้องพบกับความเจ็บปวดแบบอาจารย์ของตนหรือไม่ ความทรงจำที่แสนเจ็บปวด และความหวังที่ถูกบั่นทอน สำหรับพวกเธอและพวกเรานั้น มันคือชั่วโมงแห่งความมืดมน

"แต่ในสถานการณ์ดังกล่าว สตรีเหล่านี้ไม่ได้แน่นิ่งไป พวกเธอได้ทำบางสิ่งที่ทำได้แต่มันดูพิเศษสักหน่อย พวกเธอเตรียมเครื่องหอมจากบ้านเพื่อไปชโลมศพของพระเยซู ... ในความมืดมิดในจิตใจ พวกเธอไม่ได้หยุดรัก แต่พวกเธอจุดไฟแห่งความเมตตาขึ้นมา ส่วนสตรีอีกคนหนึ่งคือแม่พระ ท่านได้ใช้วันเสาร์นี้ในการภาวนาและมีความหวัง แม่พระมีปฎิกิริยาต่อความทุกข์โศกด้วยการวางใจในพระเจ้า ... พระเยซูทรงเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ตกลงบนพื้นดิน พระองค์กำลังทำให้เกิดชีวิตใหม่ที่ผลิบานในโลก และสตรีเหล่านี้ อาศัยคำภาวนาและความรัก พวกเธอกำลังช่วยทำให้ความหวังนี้เบ่งบาน ในช่วงเวลาของความเศร้านี้ มีคนมากเท่าไหร่ที่ได้ทำและกำลังแบบสตรีเหล่านี้ ทำด้วยการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง

"เช้าตรู่วันนี้ บรรดาสตรีได้ไปที่คูหาฝังศพและพบทูตสวรรค์ที่กล่าวกับพวกเธอว่า 'อย่ากลัวเลย พระเยซูไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พระองค์ทรงกลับคืนชีพแล้ว' อย่ากลัวเลย อย่าจำนนต่อความกลัว นี่คือสารแห่งความหวังและวันนี้คำๆ นี้ก็เป็นการกล่าวกับเราเช่นกัน นี่คือถ้อยคำที่พระเจ้าตรัสซ้ำกับเราในคืนอันมืดมิดนี้"

พระสันตะปาปาทรงสอนด้วยว่า การกลับคืนชีพของพระเยซูคือการสอนผู้มีความเชื่อให้มีความหวัง พระองค์ตรัสว่า "คืนนี้ เราได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่มีใครพรากจากเราไปได้นั่นคือความหวัง ความหวังคือสิ่งที่มาจากพระเจ้า ความหวังไม่ใช่การมองโลกในแง่ดี แต่มันคือของขวัญที่มาจากสวรรค์ หลายสัปดาห์มานี้ เราได้พูดกันว่า 'ทุกสิ่งจะดีขึ้น' แต่เมื่อเวลาผ่านไปและความกลัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความหวังอันยิ่งใหญ่ก็หายไป แต่ความหวังของพระเยซูมันต่างออกไป พระองค์หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความมั่นใจในจิตใจของเราว่า พระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งให้เป็นสิ่งดี เพราะแม้กระทั่งจากความตาย พระองค์ก็นำชีวิตใหม่มาให้

"พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์มาหาและเข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์ความทุกข์ ความกระวนกระวาย และความตายของเรา พระองค์ทรงจุดไปขจัดความมือในคูหาฝังศพ วันนี้ พระองค์ต้องการให้ไฟนี้ส่องสว่างไปจนถึงมุมที่มืดมิดที่สุดในชีวิตของเรา" พระสันตะปาปาตรัสสอนเรื่องความหวัง

จากนั้น พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงความกล้าหาญ พระองค์ตรัสว่า "พระพรแห่งความกล้า เราจะได้รับก็ต่อเมื่อเรากลิ้งหินแม้กระทั่งก้อนที่บางที่สุดออกไปจากจิตใจของเรา หากทำได้ดังนี้ ความสว่างของพระเจ้าผู้กลับคืนชีพจากความตายจะส่องแสงเข้าไปยังความกลัวที่ลึกสุดของเรา เหมือนที่พระเยซูทรงล่วงหน้าบรรดาศิษย์ไปยังกาลิลีแล้ว ... สิ่งนี้ย้ำเตือนเราว่า พระเยซูทรงเดินนำหน้าเราในชีวิตและความตาย พระองค์ล่วงหน้าเราไปที่กาลิลี พระองค์ต้องการให้เรานำความหวังไปที่นั่น ไปในทุกวันในชีวิตของเรา สำหรับบรรดาศิษย์ กาลิลีคือสถานที่แห่งความทรงจำ มันคือสถานที่ซึ่งพวกเขาถูกเรียกให้มาเป็นศิษย์ การกลับไปยังกาลิลีคือการจดจำว่าเราได้รับความรักและการเรียกจากพระเจ้า"

ตอนท้าย พระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้ยุติการค้าอาวุธและเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ พระองค์ตรัสว่า "ขอให้เราทำให้เสียงร้องแห่งความตายเงียบลง พอได้แล้วกับสงคราม ขอให้เราหยุดผลิตและค้าอาวุธ เราต้องการอาหาร ไม่ได้ต้องการปืน ขอให้การทำแท้งและเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จบลงสักที"


Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media



Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media


Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media

Photo: Vatican Media


Comments