โป๊ปฟรังซิส 'การทรงตัวของพระศาสนจักรเหมือนจักรยาน ไม่เคลื่อนที่ ก็ล้มแน่นอน'

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงชี้ การทรงตัวของพระศาสนจักรเป็นเหมือนรถจักรยาน ถ้าไม่เคลื่อนไปข้างหน้า เราจะล้มลงแน่นอน 
  • ทรงสอน เป็นพระจิตที่ประทานสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในพระศาสนจักร เราอย่าทำตัวเป็นพวกแยกแยะไม่เป็นเหมือนพวกธรรมาจารย์ คนเหล่านั้น ไร้ความสามารถในการแยกแยะ "เครื่องหมายแห่งกาลเวลา" คนพวกนี้ตกเป็นทาสของความคิดเดิมๆ เวลาเจอสิ่งใหม่ๆ เขาจะมองว่ามันคือภัยคุกคามทันที 
  • ทรงย้ำ เราต้องเปิดใจและปรับตัวรับสิ่งใหม่ๆ แต่การจะรับสิ่งใหม่ๆ สิ่งนั้นต้องมาจากพระเจ้า เราจะรู้ได้ว่ามันมาจากพระเจ้า ก็เมื่อเราให้พระจิตเป็นศูนย์กลางของชีวิต และเมื่อนั้น เราจะรู้จักเครื่องหมายของกาลเวลาว่านี่คือของประทานจากพระเจ้า





ช่วงเช้าวันอังคารที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา บทอ่านวันนี้จากหนังสือกิจการอัครสาวก เป็นเหตุการณ์หลังความตายของสตีเฟ่น ซึ่งทำให้บรรดาศิษย์กระจัดกระจายไป พวกเขาไปถึงแคว้นฟีนีเซีย เกาะไซปรัส และเมืองอันทิโอ๊ก บารนาบัสถูกส่งไปที่เมืองอันทิโอ๊กอันเป็นเมืองแรกที่บรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า "คริสตชน" เป็นครั้งแรก ส่วนพระวรสารวันนี้ ชาวยิวเข้ามาถามพระเยซูว่า "ท่านจะปล่อยให้ใจของพวกเราสงสัยอยู่นานเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสตเจ้า ก็จงบอกพวกเราให้ชัดเจนเถิด" แต่พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า "เราบอกท่านทั้งหลายแล้ว แต่ท่านไม่เชื่อ"

พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันว่า "จิตใจของชาวยิวเหล่านั้นเป็นแบบปิดตาย มันเป็นจิตใจที่ปิดตายของธรรมาจารย์ นี่คือการแสดงออกว่าการปฏิบัติตนตามธรรมบัญญัติได้กลายเป็นความเข้มงวดไม่ยืดหยุ่น พวกเขาวางตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง พวกเขายังคงทำตัวแตะต้องไม่ได้ก่อนที่งานของพระจิตจะสัมฤทธิ์ผล พวกเขาไร้ความสามารถในการแยกแยะเครื่องหมายของกาลเวลา พวกเขาตกเป็นทาสของวาจาและความคิด พวกเขาเอาแต่กลับไปยังคำถามเดิมๆ พวกเขาไร้ความสามารถที่จะออกจากโลกที่ปิดตาย พวกเขากลายเป็นนักโทษของความคิด พวกเขารับธรรมบัญญัติมาว่านี่คือชีวิต แต่พวกเขากลั่นมันออก พวกเขาแปรเปลี่ยนมันจนกลายเป็นอุดมคติ พวกเขากระสับกระส่ายและไม่สามารถที่จะก้าวไปข้างหน้า ทุกสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับคนพวกนี้ถือเป็นภัยคุกคามทั้งนั้น

"มาถึงจุดนี้ มันไม่น่าแปลกใจเลย ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอๆ และยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ กับการต่อต้านพระจิต ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง มันยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนวาระสุดท้ายของพิภพ แต่คริสตชนต้องปรับตัวให้เข้ากับแรงสั่นสะเทือนที่แตกต่างกัน เพราะพระเจ้าเสด็จมาหาเราด้วยบางสิ่งที่เป็นของใหม่และของดั้งเดิมอยู่เสมอ

"ใช่ การสงวนท่าทีในตอนแรกเป็นเรื่องที่รับได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพที่พระเจ้าทรงให้กับลูกของพระองค์ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราต้องหาหนทางของการภาวนาและแยกแยะให้ได้ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องสามารถให้พระจิตเป็นศูนย์กลาง

"ด้วยเหตุนี้ พ่อจึงอยากกล่าวย้ำถึงแบบอย่างของศิษย์กลุ่มแรกที่เราได้ยินจากหนังสือกิจการอัครสาวก พวกเขานบนอบเชื่อฟังต่อพระจิตและกระทำสิ่งใหม่ (ไม่ได้ประกาศพระวาจาให้แก่ชาวยิวอย่างเดียว แต่ประกาศให้ชาวกรีกซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างศาสนาด้วย) นี่คือผลของการเชื่อฟังพระจิตและทำสิ่งนี้ที่เป็นมากกว่าการปฏิวัติให้บรรลุผล นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มีศูนย์กลางคือพระจิต ไม่ใช่ตัวบทบัญญัติ แต่เป็นพระจิตต่างหาก

"นี่แหละว่า ทำไมพระศาสนจักรถึงกลายเป็นพระศาสนจักรในการเคลื่อนไหวอยู๋ตลอดเวลา นี่คือพระศาสนจักรที่ก้าวออกไปจากตัวเอง บรรดาอัครสาวกไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่ปิดตัวจากการได้รับเลือก แต่พวกเขาเป็นพระศาสนจักรของการเป็นธรรมทูต การทรงตัวของพระศาสนจักรตั้งมั่นอย่างเด่นชัดอยู่บนการเคลื่อนที่ อยู่ในความซื่อสัตย์ต่อพระจิต บางคนกล่าวว่าการทรงตัวของพระศาสนจักรเป็นเหมือนการทรงตัวของรถจักรยาน มันเป็นสิ่งมั่นคงและดีเมื่อมันเคลื่อนที่ ถ้าจักรยานไม่เคลื่อนที่ มันก็จะล้ม

"ดังนั้น ขอพระเจ้าประทานพระหรรษทานให้เรารู้ถึงวิธีป้องกันสิ่งที่เราต้องป้องกัน สิ่งนั้นมันจากมาจากปีศาจ และขอให้เรารู้ซึ้งถึงวิธีเปิดตัวเองรับสิ่งใหม่ แต่สิ่งนั้นต้องมาจากพระเจ้า ขอพระองค์ประทานพละกำลังจากพระจิตให้เรา พระหรรษทานของการแยกแยะเครื่องหมายแห่งกาลเวลา ทั้งนี้ เพื่อให้เราตัดสินใจในคราวที่เราจำเป็นต้องทำในขณะนั้นด้วย" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย