โป๊ปฟรังซิส - สงฆ์และนักบวชอย่าเอาแต่บ่น อย่าเปลี่ยนความยากลำบากมาเป็นข้อแก้ตัว

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเตือนสงฆ์และนักบวชคาทอลิกอียิปต์เกี่ยวกับการประจญ 7 แบบ 

  • อย่าเอาแต่บ่นคนอื่นอย่างเดียว อาทิ บ่นข้อเสียอธิการเจ้าคณะ สงฆ์และนักบวชที่บ่นอย่างเดียวคือคนที่ไม่อยากทำงาน สงฆ์และนักบวชคาทอลิกคือคนที่ได้รับการเจิมจากพระจิต เราคือคนที่เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ไม่ใช่เปลี่ยนความยากลำบากให้เป็นข้อแก้ตัว 

  • อย่านินทาและขี้อิจฉาคนอื่น แทนที่สงฆ์และนักบวชจะยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น เรากลับปล่อยให้ความอิจฉาครอบงำ ที่สุดแล้วเราจะออกอาวุธด้วยการนินทาและเหยียดหยามคุณค่าของคนอื่น 

  • อย่าทำตัวเหมือนฟาโรห์ที่จ้องจะให้คนอื่นรับใช้ เพราะสงฆ์และนักบวชคือผู้รับใช้ประชากรของพระเจ้า 

  • ส่วนการประจญอื่นๆ ที่ทรงให้ข้อคิดได้แก่ อย่าดำเนินชีวิตสงฆ์และนักบวชแบบเดินไปเรื่อยไร้จุดหมาย, อย่าทำนิสัยชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น, อย่าให้การมองโลกแง่ร้ายชักจูง และอย่าใช้ชีวิตแบบสนใจตัวเองเท่านั้น






ช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จไปพบปะและเทศน์สอนบรรดาพระสงฆ์และนักบวชคาทอลิกในอียิปต์ โดยนี่เป็นพิธีการสุดท้ายของพระสันตะปาปาในการเยือนประเทศแห่งนี้ด้วย

โอกาสนี้ พระสันตะปาปาทรงเทศน์สอนบรรดาสงฆ์และนักบวชอียิปต์ ด้วยการย้ำเตือนถึงการประจญ 7 รูปแบบที่พวกเขามีสิทธิ์เจอ ดังต่อไปนี้

- การประจญแรกคือการปล่อยให้ตัวเองถูกชี้นำ แทนที่จะนำทางคนอื่น นายชุมพาบาลที่ดีมีความรับผิดชอบในการนำทางลูกแกะ เขาไม่สามารถถูกฉุดลากด้วยความผิดหวังและการมองโลกแง่ร้าย

- การประจญที่สองคือการบ่นอย่างเดียว มันง่ายที่จะบ่นคนอื่น บ่นข้อเสียของอธิการเจ้าคณะ บ่นเกี่ยวกับพระศาสนจักรและสังคม อย่างไรก็ตาม อาศัยการเจิมของพระจิต สงฆ์และนักบวชคือคนที่เปลี่ยนอุปสรรคทุกชนิดให้เป็นโอกาส ไม่ใช่เปลี่ยนความยากลำบากให้เป็นข้อแก้ตัว! คนที่บ่นอย่างเดียวคือคนที่ไม่อยากทำงาน

- การประจญที่สามคือการนินทาและอิจฉา นี่คืออันตรายที่ร้ายแรง แทนที่จะช่วยเหลือผู้ด้อยกว่าเราและชื่นชมยินดีในความสำเร็จของเพื่อนพี่น้อง เรากลับยอมให้ตนเองถูกครอบงำด้วยความอิจฉาและพร้อมจะทำร้ายคนอื่นด้วยการนินทา เมื่อความอิจฉาพุ่งสูงขึ้น สงฆ์และนักบวชเหล่านั้นจะเริ่มทำลายคนอื่น พวกเขาจะตัดสินและดูถูกเหยียดหยามคุณค่าของคนอื่น ความอิจฉาคือมะเร็งที่ทำลายร่างกาย การนินทาคือวิธีการแสดงออกของความอิจฉา นอกจากนี้ การนินทายังเป็นอาวุธของความอิจฉาด้วย

- การประจญที่สี่คือการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ความอุดมสมบูรณ์พบได้ในความหลากหลายและความโดดเด่นของตัวเราแต่ละคน การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นที่ดีกว่าเรา จะนำไปสู่ความบาดหมาง ส่วนการเปรียบตัวเองกับคนที่แย่กว่าเราจะนำไปสู่ความทะนงตนและความขี้เกียจ

- การประจญที่ห้าคือการทำตัวเหมือนฟาโรห์ มันคือการทำให้หัวใจของเราแข็งกระด้างและปิดตายต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ มันคือการประจญที่ทำให้เราคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น มันทำให้เราคิดว่าเราต้องได้รับการรับใช้ แทนที่เราจะไปรับใช้คนอื่น การประจญนี้มีให้เห็นตั้งแต่พระวรสารตอนที่ศิษย์เถียงกันว่าใครยิ่งใหญ่กว่ากัน

- การประจญที่หกคือการสนใจแต่ตัวเองแบบตัวใครตัวมัน นี่คือการประจญของคนเห็นแก่ตัว คนแบบนี้ไม่ละอายที่จะคิดถึงแต่ตัวเองคนเดียว แย่กว่านั้น พวกเขาจะพิพากษาคนอื่นด้วย

- การประจญที่เจ็ดคือการเดินไปเรื่อยแบบไร้จุดหมาย สงฆ์และนักบวชชายหญิงสามารถสูญเสียอัตลักษณ์ของตนและเริ่มออกแนวทำอะไรไม่ดีสักอย่าง พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยหัวใจระหว่างพระเจ้ากับจิตตารมณ์ทางโลก พวกเขาสามารถหลงลืมรักแรกกับพระเจ้า พวกเขาเดินแบบไร้จุดหมาย แทนที่จะนำคนอื่นไปหาพระเจ้า สงฆ์และนักบวชเหล่านี้ทำให้สัตบุรุษแตกกระจายไปคนละทาง

- พี่น้องสงฆ์และนักบวชที่รัก การขัดขืนการประจญนั้นไม่ง่าย แต่มันเป็นไปได้ถ้าเราแนบชิดกับพระเยซู ยิ่งเราหยั่งรากลึกในพระคริสตเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีชีวิตชีวาและบังเกิดผลมากเท่านั้น คุณภาพของชีวิตสงฆ์และนักบวชนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของชีวิตฝ่ายจิตนั่นเอง