โป๊ปฟรังซิส - เยาวชนต้องพูดคุยกับปู่ย่าตายายและใกล้ชิดพวกท่านให้มากๆ

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอนเยาวชน จงพูดคุยกับปู่ย่าตายายและใกล้ชิดพวกท่านให้มากๆ แม้ท่านจะเกิดคนละยุคกับเรา แต่ท่านสามารถถ่ายทอดความรู้ล้ำค่าให้เราได้ 

  • ทรงขอร้องพ่อแม่ จงใช้เวลาเล่นกับลูกให้มากๆ อย่าคิดว่าเล่นกับลูกเป็นการเสียเวลา 

  • ทรงยอมรับ เศร้าใจที่พ่อแม่หลายคนต้องทำงานในวันหยุด ทำให้เวลาไม่ตรงกับลูกของตน 

  • ทรงชี้ การจะเป็นครูที่ดี เราต้องรู้ว่าจะดึงคุณภาพจากตัวลูกศิษย์เราได้อย่างไร 

  • ทรงขอร้อง เยาวชนอย่าทำตัวเป็นอันธพาล ยั่วยุคนอื่น และรังแกเพื่อนๆ เด็ดขาด









ช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงพบปะและให้โอวาทแก่เยาวชนคาทอลิกกว่า 80,000 คน ภายในสนามฟุตบอลซาน ซีโร่ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยนี่เป็นพิธีการสุดท้ายของการเยือนอัครสังฆมณฑลมิลาน จากนั้น พระสันตะปาปาจะเสด็จกลับไปกรุงโรมทันที

สำหรับพระดำรัสที่พระสันตะปาปาตรัสสอน พระองค์ทรงใช้วิธีถามตอบกับเยาวชน คำถามมาจากเยาวชนที่เพิ่งรับศีลกำลัง, เยาวชนที่เพิ่งแต่งงาน และครูคำสอน ใจความว่า

คำถามแรกจากเยาวชนที่เพิ่งได้รับศีลกำลัง ถามพระสันตะปาปาว่า "ตอนที่พระองค์อายุเท่ากับพวกเรา สิ่งใดที่ช่วยพระองค์ในการหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์กับพระเยซู"

พระสันตะปาปาตรัสตอบว่า "คำถามนี้พ่อตอบได้ง่ายมาก เพราะแค่นึกถึงตอนเป็นเด็กเท่ากับลูก พ่อก็ตอบได้ทันที มันมีสามสิ่งที่ต้องทำนะ หนึ่ง คุยกับปู่ย่าตายาย พวกท่านอาจจะแก่แล้ว อาจจะอยู่คนละยุคกับลูก พวกท่านไม่มีโทรศัพท์และใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น แต่ลูกคิดดูนะ ปู่ย่าตายายสามารถช่วยลูกให้เจริญเติบโตในความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ไหม (เยาวชนในสนามตอบพร้อมกันว่า "ได้")

"สำหรับตัวพ่อเอง คุณตาของพ่อเป็นช่างไม้ ท่านเป็นผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเยซู เมื่อพ่อมองไปที่คุณตา พ่อคิดเกี่ยวกับพระเยซู ท่านมักจะบอกพ่อว่า 'อย่าเพิ่งเข้านอนจนกว่าจะพูดกับพระเยซูนะ พูดสั้นๆ กับพระองค์ว่า ราตรีสวัสดิ์ ก็ยังดี' ส่วนคุณยายและคุณแม่ของตัวพ่อเอง ก็สอนเรื่องการสวดภาวนา จำไว้ว่า ปู่ย่าตายายมีปรีชาญาณในการดำเนินชีวิต และอาศัยสิ่งนี้ ท่านจะสอนให้เราใกล้ชิดกับพระเยซู พ่อขอให้พวกลูกพูดคุยกับปู่ย่าตายายให้มากๆ และก็ฟังพวกท่านให้มากๆ ด้วย มีอะไรก็ถามพวกท่าน ยุคนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องพูดคุยกับปู่ย่าตายาย

"สอง ความเชื่อในพระเยซูของพ่อมาจากการเล่นกับเพื่อน เพราะเวลาเล่นกับเพื่อนคือการได้สัมผัสความสุขความชื่นชมยินดี มันเป็นการเล่นแบบไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีแก่กัน เล่นเหมือนกับว่าพระเยซูกำลังเล่นกับเราด้วย มันเป็นเรื่องดีที่เราเล่นกับเพื่อนๆ เพราะเมื่อเกมที่เราเล่นนั้นเป็นสิ่งใสสะอาด เราก็ได้เรียนรู้ที่จะเคารพคนอื่น เรียนรู้การทำงานเป็นทีม ทั้งหมดนี้หลอมรวมเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู บางคนอาจถามว่า 'การทะเลาะกับเพื่อนช่วยให้เรารู้จักพระเยซูได้หรือไม่' คำตอบคือไม่ การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อทะเลาะกันแล้ว ต้องไปขอโทษและจบเรื่องไม่เข้าใจกันนะ

"สาม ความสัมพันธ์กับพระเยซูเกิดจากการไปวัดและเฝ้าศีล นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก ว่าแต่พวกลูกชอบหรือเปล่าล่ะ ลูกชอบไปวัดกันไหม เอ๊ะ! พ่อได้ยินบางคนบอกว่า 'ไม่' ออกมานะ! ... เอาล่ะ สามสิ่งนี้คือสิ่งที่จะช่วยหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซู"

คำถามที่สองมาจากเยาวชนที่เพิ่งแต่งงานกัน พวกเขาถามว่า "จะถ่ายทอดความเชื่อให้ลูกได้อย่างไร"

พระสันตะปาปาตรัสตอบว่า "ความเชื่อในพระเจ้าจะช่วยเราให้ก้าวไปข้างหน้า ช่วยเราให้เผชิญเรื่องร้ายๆ มากมาย เผชิญด้วยทัศนคติที่มั่นใจ ไม่ใช่เผชิญด้วยการมองโลกแง่ร้าย การเป็นประจักษ์พยานที่ดีที่สุดที่เราสามารถมอบให้ลูกๆ ก็อาจเป็นเหมือนสุภาษิตที่กล่าวว่า 'คำพูดจะหายไปกับสายลม' ดังนั้น จงใช้เวลาให้มากอยู่กับลูกของท่าน เช่น ไปวัดร่วมกัน จากนั้นก็ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะพร้อมกัน ความเชื่อคือการใช้เวลากับครอบครัว มันไม่ใช่การเสียเงินทองเลย อย่างไรก็ตาม พ่อเข้าใจดีว่า พ่อแม่บางคนต้องทำงานในวันหยุด เรื่องนี้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะมันทำให้ลูกต้องขมขื่นและเสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลาไปกับพ่อแม่

"นอกจากนี้ พ่อขอร้องพ่อแม่ทุกคน จงเล่นกับลูก พ่อแม่หลายคนในยุคนี้ไม่ชอบเล่นกับลูก แต่พ่ออยากขอร้องว่า พ่อแม่ต้องกล้าเสียเวลาไปกับลูก ครั้งหนึ่งมีสัตบุรุษที่เป็นคุณพ่อท่านหนึ่งมาคุยกับพ่อว่า 'ตอนที่ผมออกจากบ้านไปทำงาน ลูกยังหลับอยู่เลย ส่วนตอนผมกลับมาบ้าน พวกเขาก็หลับไปแล้ว ผมเจอลูกแต่ช่วงวันหยุดเท่านั้น' พ่อเลยบอกเขาว่า 'มันแย่มากเลยนะ! การใช้ชีวิตของคุณทำให้ความเป็นมนุษย์ของคุณหายไปชัดๆ' อีกสิ่งที่พ่ออยากบอกก็คือ เวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน คนที่ทนทุกข์มากสุดคือลูก อย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาด"

คำถามสุดท้ายจากครูคำสอน ถามว่า "พระองค์มีคำแนะนำบ้างไหมที่จะช่วยเราเปิดตัวเองให้รับฟังและสานเสวนากับคนอื่น"

พระสันตะปาปาตอบว่า "ต้องให้การศึกษากับเยาวชนให้มากๆ การศึกษาคือหัว มือ และหัวใจของคนในการทำสิ่งต่างๆ พ่อมีตัวอย่างเล่าให้ฟัง ครั้งหนึ่งในโรงเรียนที่พ่อเคยดูแล มีนักเรียนคนหนึ่งเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่สุดยอดมาก เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เลยก็ว่าได้ แต่เขาทำตัวแย่มากในห้องเรียน หนึ่งในกฏระเบียบก็คือถ้าเขาทำตัวผิดระเบียบ เขาต้องถอนตัวจากทีมฟุตบอล อย่างไรก็ตาม เขายังทำตัวแย่ไม่หยุด เขาถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลนานสองเดือน แต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายกว่านั้น อยู่มาวันหนึ่ง โค้ชทีมฟุตบอลเลยมาขอร้องให้เด็กคนนี้ได้กลับมาเล่นฟุตบอลที่ตนเองรัก เผื่อจะเปลี่ยนนิสัยเขาได้บ้าง โค้ชแต่งตั้งเขาเป็นกัปตันทีมให้นำคนอื่น ผลปรากฏว่า เด็กคนนี้รู้สึกว่าตัวเองได้รับการเอาใจใส่และทำทุกอย่างเพื่อทีม เขารู้สึกว่าทุกคนเห็นคุณค่าของเขา จากนั้น ความประพฤติเขาดีขึ้นเรื่อยๆ นี่คือความสำคัญของการศึกษา บางคนอาจดีในเรื่องกีฬา แต่ไม่เก่งเรื่องวิชาการ เราต้องวิเคราะห์เด็กให้ได้ การจะเป็นครูที่ดี เราต้องรู้ว่าจะดึงคุณภาพจากตัวลูกศิษย์เราได้อย่างไร"

ตอนท้าย พระสันตะปาปาตรัสกับเยาวชนทุกคนว่า "มันมีปรากฏการณ์น่ารังเกียจเช่นกัน นั่นคือ การเป็นพวกอันธพาล มันมีคนที่ทำตัวยั่วยุคนอื่นเพื่อเหตุผลอะไรก็ตาม หรือว่าตัวลูกเองทำตัวเป็นพวกรุนแรงก้าวร้าวต่อผู้อื่นไหม นิสัยแบบนี้เรียกว่าอันธพาลนะ! ศีลกำลังที่ลูกได้รับไปนั้นคือคำสัญญาต่อพระเจ้าว่าลูกจะไม่ทำตัวเป็นอันธพาล ลูกสัญญากับพ่อได้ไหม อย่ายั่วยุคนอื่น อย่าชกต่อยเพื่อนร่วมห้อง ลูกสัญญากับพ่อได้ไหม (ทุกคนตะโกนว่า 'ได้ครับ/ ค่ะ') ... โอเค ลูกตอบว่าได้ แต่พระสันตะปาปายังไม่พอใจ ขอให้พูดดังๆ อีกทีซิว่า ลูกจะสัญญากับพระสันตะปาปาได้ใช่ไหมว่าจะไม่ทำตัวเป็นอันธพาล ลองคิดแบบเงียบๆ ดูซิว่า การเป็นอันธพาลมันเลวร้ายเพียงใด" (จากนั้น ทุกคนตอบว่า "สัญญาจะไม่ทำตัวเป็นอันธพาล" ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องทั่วสนาม"