โป๊ปฟรังซิส - อย่ามีทัศนคติบ่นตลอดเวลาและเอาแต่ต่อว่าคนอื่น

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอน อย่ามีทัศนคติบ่นตลอดเวลาและเอาแต่ต่อว่าคนอื่น นี่คือบาปน่ารังเกียจและเป็นบาปของนิสัยเฉื่อยชา 

  • ตัวอย่างชัดเจนคือชายที่ป่วยมานาน 38 ปีที่นอนอยู่ข้างสระน้ำ แล้วบ่นว่าไม่มีใครช่วยจุ่มเขาลงสระน้ำ 

  • ทรงชี้ การเป็นคริสตชนที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา เลวร้ายกว่าการมีหัวใจเย็นชาด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เราไม่ก้าวไปข้างหน้าและสูญเสียความชื่นชมยินดีในการดำเนินชีวิต





ช่วงเช้าวันอังคารที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา พระวรสารวันนี้ พระเยซูทรงรักษาชายที่ป่วยมานาน 38 ปี แต่ชาวยิวหาว่าพระองค์รักษาคนป่วยในวันสับบาโต (วันพระเจ้า ซึ่งชาวยิวห้ามทำการใดๆ ในวันดังกล่าว) ส่วนบทอ่านวันนี้จากหนังสือประกาศกเอเซเคียล ที่กล่าวถึงน้ำทรงชีวิต น้ำนี้ไหลไปที่ใด ที่นั่นก็จะมีชีวิต

พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันว่า

- พระเยซูทรงถามชายคนป่วยว่า 'ท่านอยากจะหายป่วยไหม' คำถามนี้ พระเยซูทรงถามเราด้วยเช่นกัน พระองค์ถามเราว่า 'ท่านอยากมีความสุขไหม ท่านอยากจะทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นหรือเปล่า ท่านอยากจะได้รับการเติมเต็มด้วยพระจิตหรือไม่'

- เมื่อพระเยซูถามชายคนนี้แบบตรงๆ แทนที่จะตอบว่า 'ใช่ ผมอยากหายป่วย' เขากลับบ่นว่าไม่มีใครช่วยจุ่มเขาลงในสระเมื่อน้ำกระเพื่อม และพอเมื่อเขามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนเขาแล้ว คำตอบของชายคนนี้คือการบ่น เขากำลังบอกเป็นนัยว่าชีวิตไม่ยุติธรรมกับเขาเลย ชายคนนี้ก็เหมือนกับต้นไม้ที่อยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำในบทอ่านประจำวันนี้ เพียงแต่รากของต้นไม้นี้แห้งเฉา รากไปไม่ถึงน้ำ จึงทำให้ไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงใดๆ จากน้ำนั้น

- นี่เป็นเรื่องชัดเจนมากว่าเกิดจากทัศนคติที่เอาแต่บ่นตลอดเวลาและเอาแต่ต่อว่าคนอื่นด้วย นี่คือบาปอันน่ารังเกียจ มันเป็นบาปของความเฉื่อยชา โรคร้ายของชายคนนี้ไม่ได้เป็นอัมพาตร้ายแรง แต่มันเป็นความเกียจคร้านซึ่งเลวร้ายกว่าการมีหัวใจที่เย็นชาด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้คนๆ หนึ่งดำเนินชีวิตแบบไร้ความต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าและทำบางสิ่งในชีวิต มันทำให้คนๆ หนึ่งสูญเสียความทรงจำแห่งความชื่นชมยินดี พูดง่ายๆ คือชายคนนี้สูญเสียทุกสิ่งก็ว่าได้

- พระเยซูไม่ตำหนิเขา แต่ตรัสกับเขาว่า 'ลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอนแล้วเดินไปเถิด' ชายคนนี้ก็ได้รับการรักษาให้หายในวันสับบาโต บรรดานักกฏหมายจึงบอกว่า มันเป็นเรื่องผิดบทบัญญัติที่ชายคนนี้แบกแคร่ในวันดังกล่าว พวกเขาจึงถามชายคนนี้ว่าใครกันที่รักษาเขาให้หาย ชายคนนี้ไม่ได้ขอบคุณพระเยซูหรือแม้แต่จะถามชื่อของพระองค์ เขาลุกขึ้นและเดินไปพร้อมกับทัศนคติที่เกียจคร้าน เขาดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ เพราะลมหายใจเป็นของฟรี เขาหลงลืมความชื่นชมยินดีในการดำเนินชีวิต ขอให้เราระลึกเสมอว่า ความเกียจคร้านเฉื่อยชานี่แหละเป็นบาปที่ทำให้เราเป็นอัมพาต และหยุดยั้งเราจากการก้าวเดิน

- แมัในทุกวันนี้ พระเจ้ายังคงมองมายังเราแต่ละคนที่เป็นคนบาป พระองค์ตรัสกับเราให้ลุกขึ้น พระเจ้าทรงเรียกเราและบอกว่า 'จงอย่ากลัว จงเดินไปข้างหน้าพร้อมกับแคร่ของท่าน' นอกจากนี้ ขอให้เราระลึกถึงน้ำที่ช่วยดับกระหายเราด้วยความชื่นชมยินดี และขอให้เราขอพระเจ้าช่วยเราให้ลุกขึ้นและเรียนรู้ถึงความชื่นชมยินดีแห่งความรอด