โป๊ปฟรังซิส: เวลาประกาศข่าวดี อย่าทำหน้าเศร้า + ความเชื่อที่ถูกท้าทายเป็นเรื่องดี

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงย้ำสงฆ์และนักบวชเมืองมิลาน เวลาประกาศข่าวดี อย่าทำหน้าเศร้า ถ้าทำแบบนั้นแสดงว่าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูคือองค์แห่งความชื่นชมยินดี 

  • ทรงสอน ความเชื่อที่ถูกท้าทายเป็นสิ่งดีงาม เพราะมันทำให้เราเติบโตขึ้น ตรงกันข้าม ความเชื่อที่ไม่ถูกท้าทายจะทำให้เราปิดตัวเองและไม่ร้อนรน 

  • ทรงชี้ คณะนักบวชที่ไม่ถือความยากจน ไม่ช่วยคนยากไร้ พระเจ้าจะส่งเหรัญญิกมาทำลายเงินฝากที่เก็บไว้ในธนาคารแน่นอน









ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ประทับเครื่องบินออกจากสนามบินฟิวมิชิโน่ กรุงโรม ไปยังสนามบินมิลาโน่ ลินาเต้ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เพื่ออภิบาลคาทอลิกที่นั่นเป็นเวลา 1 วัน

ทันทีที่มาถึง พระสันตะปาปาเสด็จไปพบปะบรรดาสัตบุรุษและบรรดาผู้ลี้ภัยที่เป็นชาวยิปซีและมุสลิมที่อาศัยอยู่ในเขตฟอร์ลานินี่ ชานเมืองมิลาน โอกาสนี้ บรรดาคาทอลิกของอัครสังฆมณฑลมิลานได้ถวาย "สตอลา"และภาพแม่พระให้กับพระองค์

พระสันตะปาปาตรัสขอบคุณทุกคนที่มอบของให้พระองค์ และย้ำว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่พระองค์ได้รับการต้อนรับจากครอบครัวต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในมิลาน พร้อมกันนี้ พระสันตะปาปายังตรัสถึง "สตอลา" ที่ได้รับถวายว่า "นี่เป็นเครื่องเตือนใจชั้นเยี่ยมว่า พ่อเป็นพระสงฆ์ และพ่อก็มามิลานในฐานะพระสงฆ์ ศักดิ์สงฆ์ของพ่อเป็นของขวัญจากพระเยซูคริสต์ แต่ศักดิ์สงฆ์นี้ก็ได้รับการถักทอโดยพวกท่านบรรดาสัตบุรุษผู้มีความเชื่อ ท่านถักทอสิ่งนี้ด้วยคำภาวนา ความศรัทธา การใช้แรงงาน และด้วยน้ำตา"

"ส่วนรูปแม่พระ ก็เป็นเครื่องเตือนใจพ่อถึงความเอาใจใส่และความห่วงใยของพระศาสนจักร สองสิ่งนี้ไม่ได้อยู่แต่ในใจกลางเมืองเท่านั้น แต่ยังออกมาพบปะทุกคนที่อยู่พื้นที่รอบนอกด้วย แม่พระไปพบทุกคน ทั้งคนที่ไม่ใช่คาทอลิกและไม่เชื่อพระเจ้า แม่พระนำพระเยซูไปพบทุกคน" พระสันตะปาปาตรัสช่วงท้าย

หลังจากนี้ พระสันตะปาปาได้เสด็จไปพบปะและให้โอวาทแก่บรรดาพระสงฆ์และนักบวชของอัครสังฆมณฑลมิลาน ภายในดูโอโม่ (อาสนวิหารของอัครสังฆมณฑลมิลาน)

สำหรับพระดำรัสที่พระสันตะปาปาตรัสกับบรรดาพระสงฆ์และนักบวช พระองค์ทรงให้พวกเขาถามและพระองค์ทรงตอบ ซึ่งใจความสำคัญมีดังนี้

ประกาศข่าวดี อย่าทำหน้าเศร้า

- พระสันตะปาปา ตรัสว่า "การประกาศข่าวดีไม่เหมือนกับการจับปลาเสมอไป เพราะเราต้องก้าวออกไปและต้องมอบการเป็นประจักษ์พยานด้วย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้เห็น ขอให้เราอย่าสูญเสียความชื่นชมยินดีของการประกาศข่าวดีเพราะสิ่งนี้คือความชื่นชมยินดี มันเป็นเรื่องไม่ดีงามที่จะทำหน้าเศร้าเวลาประกาศข่าวดี จงอย่าทำตัวเป็นผู้ประกาศข่าวดีที่ซึมเศร้า เพราะมันเหมือนกับว่าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูคือองค์แห่งความชื่นชมยินดี"

ความเชื่อที่ไม่ถูกท้าทาย เป็นสิ่งน่ากลัว

- "ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของศาสนาคริสต์ มันมีประเด็นเรื่องความท้าทายอันหลากหลายอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปกลัวความท้าทาย เพราะความท้าทายเป็นเรื่องดี มันทำให้เราเติบโต มันเป็นเครื่องหมายของความเชื่อทรงชีวิตในกลุ่มคริสตชนที่แสวงหาพระเจ้าและเปิดหูและหัวใจของเราเสมอ สิ่งที่เราควรกลัว มันคือความเชื่อที่ปราศจากความท้าทายต่างหาก ความเชื่อที่รู้สึกว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ความเชื่อแบบนี้ไม่เป็นที่ต้องการ ความท้าทายจะช่วยให้ความเชื่อของเราไม่กลายเป็นมโนคติ ความท้าทายจะช่วยเราจากการปิดตัวเอง"

อย่ากลัววัฒนธรรมที่หลากหลาย

- "พ่อคิดว่า พระศาสนจักรทุกยุคสมัยสอนเราเยอะมากและช่วยเราให้ก้าวไปข้างหน้าสู่วัฒนธรรมอันหลากหลาย พระจิตคืออาจารย์ของความหลากหลาย พระศาสนจักรเป็นหนึ่งเดียวก็จริงแต่เราก็มีหลายแง่มุม ... อย่าสับสนเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกันแบบทุกคนต้องเหมือนกันหมด และทุกอย่างต้องหลากหลายด้วยสังคมที่มีความแตกต่างทางชนชั้นเยอะๆ สิ่งที่เราต้องทำคือพยายามที่จะลดและขจัดความขัดแย้งหรือความไม่มั่นใจในประเด็นเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ออกไปให้ได้

ต้องสอนเยาวชนให้รู้จักแยกแยะดีหรือชั่ว

- "มันเป็นเรื่องดีที่จะสอนเยาวชนให้รู้จักแยกแยะ ... เมื่อคุณเป็นเด็ก มันง่ายที่แม่และพ่อจะพูดว่าเราต้องทำอะไร นั่นโอเค แต่เมื่อเราโตขึ้นท่ามกลางเสียงมากมาย การแยกแยะระหว่างสิ่งใดที่จะนำเราไปสู่การกลับคืนชีพจากความตายและไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งความตาย ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก"

สังฆานุกรไม่ใช่ "สงฆ์ครึ่งตัว"

- คำถามนี้ คนที่เป็นสังฆานุกรถาวร ถาม และพระสันตะปาปาตอบว่า "อย่ามองว่าสังฆานุกรคือครึ่งหนึ่งเป็นสงฆ์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นฆราวาส ถ้ามองแบบนี้อันตราย ผลสุดท้าย พวกเขาจะไม่ใช่ทั้งสองแบบเลย คนที่มองแบบนี้ทำร้ายสังฆานุกรมากๆ พ่ออยากพูดถึงอันตรายจากการแสวงหาความก้าวหน้าจากการเป็นสงฆ์ บางครั้งดูเหมือนว่าสังฆานุกรก็สวมบทเป็นสงฆ์ด้วย อีกการประจญที่เจอก็คือการทำอะไรเหมือนมันเป็นหน้าที่เดิมๆ พวกท่านอย่าทำแบบนั้นเพราะท่านมีพระพรพิเศษในพระศาสนจักรและต้องรักษามันไว้ให้ได้ สังฆานุกรเป็นกระแสเรียกพิเศษ มันเป็นกระแสเรียกครอบครัวที่เรียกร้องการรับใช้ ในยุคสมัยของอัครสาวก หน้าที่หลักของพระสังฆราชคือภาวนาและประกาศพระวาจา ส่วนหน้าที่ของสังฆานุกรคือการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์"

ถ้าคณะนักบวชไม่ถือความยากจน พระเจ้าจะส่งเหรัญญิกมาทำลายแน่นอน

- "เงินที่เราฝากธนาคารไว้เริ่มจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ความยากจนไปอยู่ไหนล่ะ พระเจ้าทรงความดีเสมอ เมื่อใดที่คณะนักบวชไม่ลงมาเดินบนหนทางของความยากจน พระเจ้าจะส่งเหรัญญิกมาทำลายทุกสิ่งเสมอ นี่คือพระหรรษทานของพระเจ้า"