สัมภาษณ์พระสันตะปาปาบนเครื่องบิน: "พระศาสนจักรคาทอลิกจะไม่มีทางบวชสตรีเป็นสงฆ์"

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงย้ำ พระศาสนจักรคาทอลิกจะไม่มีทางบวชสตรีเป็นสงฆ์ นักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 เคยตรัสเรื่องนี้แบบเด็ดขาดไปแล้ว และคำพูดนั้นก็ยังประยุกต์ใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ 
  • ทรงยกย่องสวีเดนเป็นประเทศที่รอบคอบและดูแลผู้อพยพและผู้ลี้ภัยได้สุดยอดมาก เพราะสวีเดนรับคนมาแล้ว จะจัดเตรียมบ้าน โรงเรียน และงานให้ผู้ลี้ภัยทันที  นี่คือตัวอย่างประเทศที่มีความสามารถในการหลอมรวมคนเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น 
  • ทรงชี้ การตัดศาสนาออกจากการดำเนินชีวิต ซึ่งแพร่หลายมากในยุโรป เกิดจากความอ่อนแอและเฉื่อยชาของพระศาสนจักรในพื้นที่นั้น อาทิ สงฆ์มักใหญ่ใฝ่สูง และคริสตชนก็ไม่ประกาศข่าวดี



สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงให้สัมภาษณ์บนเครื่องบินต่อบรรดานักข่าวสายวาติกันบนเที่ยวบินจากเมืองมัลเม่อ ไปยังกรุงโรม ประมาณ 40 นาที โดยนักข่าวทั้งหมดได้ตามเสด็จพระสันตะปาปา ไปทำข่าวการมาร่วมงานรำลึก 500 ปีแห่งการปฎิรูปคริสตศาสนาของมาร์ติน ลูเธอร์ ซึ่งจัดที่เมืองลุนด์ ประเทศสวีเดน ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญ มีดังต่อไปนี้

นักข่าว: "ประเด็นเรื่องผู้ลี้ภัยนะครับ ทุกวันนี้ยังมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่แสวงหาสถานะการเป็นผู้ลี้ภัยในทวีปยุโรป เรื่องนี้ก่อให้เกิดความหวาดกลัวอย่างมากในกลุ่มชาวยุโรป บางคนพูดกันว่า ผู้ลี้ภัยคือภัยคุกคามต่ออัตลักษณ์ยุโรปและต่อคริสตศาสนา แม้แต่ในสวีเดนซึ่งสมัยก่อนเปิดประตูต้อนรับผู้ลี้ภัย แต่ตอนนี้ สวีเดนก็เริ่มปิดพรมแดนบ้างแล้ว พระองค์คิดอย่างไรครับ"

พระสันตะปาปา: "ในฐานะที่เป็นชาวอาร์เจนตินาและชาวอเมริกาใต้ พ่อรู้สึกซาบซึ้งใจต่อสวีเดนและมิตรไมตรีที่ประเทศนี้มีให้ เพราะสวีเดนได้เปิดรับชาวอาร์เจนตินา ชิลี และอุรุกวัย ที่ลี้ภัยจากเผด็จการทหารให้มาอาศัยในประเทศของพวกเขา ประเทศแห่งนี้มีประเพณีของความโอบอ้อมอารีอย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่เปิดรับเท่านั้น แต่ยังยอดเยี่ยมในเรื่องการช่วยเหลือและหลอมรวมคนที่มาใหม่ให้ปรับตัวเข้ากับชีวิตในสวีเดน สวีเดนจัดหาบ้าน การศึกษา การฝึกอาชีพ และจัดหางานให้ทำอย่างดี นี่คือการหลอมรวมผู้อพยพเข้ากับสังคมใหม่ได้อย่างไม่มีที่ติ ถ้าข้อมูลของพ่อไม่ผิดพลาด สวีเดนมีประชากรทั้งหมด 9 ล้านคน แต่ 850,000 คน เป็นผู้อพยพและผู้ลี้ภัย สิ่งนี้จัดว่าน่าทึ่งมาก

"ความแตกต่างระหว่างผู้อพยพกับผู้ลี้ภัยคือผู้อพยพต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามกฎ เพราะการอพยพคือสิทธิที่ทำได้แต่ต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ผู้ลี้ภัยมาจากบริบทที่แตกต่างกัน พวกเขาสิ้นหวัง อดอยาก ต้องทนทุกข์จากสงครามอันเลวร้าย สถานะความต้องการของพวกเขาต้องได้รับการประเมินอย่างรอบคอบและเรียกร้องเราให้ลงมือทำงานช่วยพวกเขา สวีเดนคือแบบอย่างของเรื่องนี้ ประเทศนี้ให้การอบรมและหลอมรวมผู้อพยพและลี้ภัยเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น การหลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น เราไม่จำเป็นต้องไปกลัว เพราะยุโรปถูกสร้างขึ้นด้วยการหลอมรวมวัฒนธรรมอันหลากหลาย

"ส่วนเรื่องที่ว่า พ่อคิดอย่างไรกับการปิดพรมแดน พ่อเชื่อว่า ตามทฤษฎีแล้ว คนเราไม่สามารถปิดหัวใจใส่ผู้ลี้ภัย อย่างไรก็ตาม ผู้นำทางการเมืองจำเป็นต้องรอบคอบ พวกเขาควรเปิดใจกว้างๆ เพื่อต้อนรับผู้ลี้ภัย แต่พวกเขาก็ต้องรอบคอบเวลาที่รับคนเข้ามาแล้วจะจัดการอย่างไร เพราะปัญหาคือรับมาแล้ว จะให้การศึกษาและหลอมรวมผู้ลี้ภัยเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้หรือไม่ ถ้าประเทศไหนมีความสามารถในการทำงานเช่นนี้ได้ดีกว่า ประเทศนั้นควรเปิดรับผู้ลี้ภัยมากหน่อย ควรเปิดใจกว้างอยู่เสมอ มันเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรมที่จะปิดประตูและหัวใจใส่ผู้ลี้ภัย

"อย่างไรก็ตาม หากผู้นำทางการเมืองประเทศไหนคิดคำนวณไม่รอบคอบ มันก็อาจเกิดความเสียหายได้ถ้าเรารับผู้ลี้ภัยมามากเกินกว่าที่เราจะหลอมรวมพวกเขาเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเสี่ยงที่จะตามมาเมื่อผู้อพยพและผู้ลี้ภัยไม่สามารถหลอมรวมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็คือ พวกเขาจะกลายเป็นคนที่ถูกกีดกันออกไปจากสังคม พวกเขาจะมีวัฒนธรรมที่ไม่สามารถปรับใช้กับวัฒนธรรมอื่นได้ สิ่งนี้อันตรายมากๆ

"พ่อคิดว่าความกลัวคือคำแนะนำสุดท้ายที่พ่อจะบอกกับประเทศที่มีแนวโน้มจะปิดพรมแดน ส่วนคำแนะนำที่ดีที่สุดคือจงรอบคอบ พ่อได้คุยกับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลสวีเดนเกี่ยวกับเรื่องปิดพรมแดนเหมือนกัน เขาบอกพ่อว่า ที่ปิดพรมแดนนั้น เป็นเพราะสวีเดนเจอปัญหาตรงที่มีผู้ลี้ภัยทะลักเข้ามาก มากจนสวีเดนไม่มีเวลาจะไปจัดการระบบและจัดหาโรงเรียน บ้าน และงานให้ผู้ลี้ภัย นี่แสดงให้เห็นว่า สวีเดนเป็นประเทศที่รอบคอบกับการจัดการปัญหานี้"

นักข่าว: "ศาสนจักรแห่งสวีเดน (ลูเธอรัน) มีผู้นำเป็นผู้หญิง มันเป็นเรื่องจริงที่จะคิดเกี่ยวกับพระศาสนจักรคาทอลิกว่า เราจะมีสงฆ์เป็นผู้หญิงได้ไหม"

พระสันตะปาปา: "ประเด็นเรื่องการบวชสตรีเป็นสงฆ์ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เคยตรัสแบบเด็ดขาดแล้ว (ว่าไม่มีทาง) มันชัดเจนและคำตอบนั้นยังบังคับใช้ถึงทุกวันนี้"

นักข่าว: "หมายความว่า ไม่มีทางเลยใช่ไหมที่จะมีสงฆ์สตรีในพระศาสนจักรคาทอลิก"

พระสันตะปาปา: "ถ้าคุณอ่านคำประกาศของนักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 อย่างละเอียด นั่นแหละคือบทสรุปที่ชัดเจน"

นักข่าว: "การแยกศาสนาออกจากการดำเนินชีวิต ดูชัดเจนและแข็งแรงมากสวีเดน (การปกครองรัฐแบบไม่ให้ศาสนามายุ่งเกี่ยว) ทำให้พลเมืองประกาศตัวไม่นับถือศาสนาได้อย่างเสรี ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ทั่วยุโรป ในฝรั่งเศสก็มีการประเมินกันว่า ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ประกาศตนไม่นับถือศาสนาใดๆ แบบนี้เท่ากับว่า หลักการแยกศาสนาออกจากการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหมครับ ในฐานะที่พระองค์เป็นผู้นำพระศาสนจักร จะทำอย่างไรกับสิ่งนี้ดี"

พระสันตะปาปา: "มันไม่ใช่หลีกเลี่ยงไม่ได้นะ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 6 ตรัสไว้ชัดเจนและดีมากๆ ว่า เมื่อใดที่ความเชื่ออ่อนแอและเฉยชา มันจะทำให้พระศาสนจักรอ่อนแอ ถ้ายุคนี้ การตัดศาสนาออกจากการดำเนินชีวิตดูทรงพลังมากอย่างในฝรั่งเศส ก็แปลว่า ที่นั่นเต็มไปด้วยจิตตารมณ์ทางโลก ถ้าพระสงฆ์คาทอลิกแสวงหาความก้าวหน้าจากการเป็นสงฆ์ พระศาสนจักรก็อ่อนแอ พลังของพระวรสารก็ขาดหายไป ถ้าการประกาศข่าวดีอ่อนแอ คริสตชนในประเทศนั้นก็จะกลายเป็นคนเฉยชา วันไหนที่จิตตารมณ์ทางโลกเข้ามาในพระศาสนจักร วันนั้นจะเลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อพระสันตะปาปาขี้โกงด้วยซ้ำไป ในการเลี้ยงอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูทรงภาวนาขอพระบิดา โปรดปกป้องเราจากจิตตารมณ์ทางโลกซึ่งอันตรายมากๆ พ่อเชื่อว่า การสวดภาวนา จะช่วยเราให้หลีกหนีจากสิ่งนี้ได้"

Comments