โป๊ปฟรังซิสเล่าเรื่อง "คนขับแท็กซี่กลับใจ" หลังตอนแรกไม่อยากรับผู้ลี้ภัยไปจาริกที่ประตูศักดิ์สิทธิ์

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเล่าเรื่องคนขับแท็กซี่ที่ตอนแรกไม่เต็มใจรับผู้ลี้ภัยตัวเหม็นขึ้นรถไปวาติกัน เพื่อไปจาริกผ่านประตูศักดิ์สิทธิ์ แต่พอฟังเรื่องราวของผู้ลี้ภัย เขากลับใจและไม่เก็บค่าโดยสาร เพราะประสบการณ์เลวร้ายเปลี่ยนความคิดของเขามากทีเดียว 
  • ทรงแบ่งปัน เรื่องผู้ลี้ภัยตัวเหม็นจะกลายเป็นน้ำหอมให้จิตวิญญาณของเราได้ แรกๆ เราอาจไม่เต็มใจช่วย แต่พอได้สัมผัสประสบการณ์เลวร้ายแบบนั้น เราจะสำนึกและรู้สึกเป็นทุกข์ไปกับเขาทันที 
  • ทรงย้ำ ทางแก้วิกฤติผู้ลี้ภัยคือเราต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้ลี้ภัย อย่ากีดกันใครเด็ดขาด 
  • ทรงขอร้อง คาทอลิกต้องสวดสายประคำสม่ำเสมอ ไม่ใช่สวดแค่เดือนตุลาคมอย่างเดียว เพียงเพราะนี่เป็นเดือนแม่พระแห่งสายประคำ



ช่วงสายวันพุธที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงออกมาพบปะและเทศน์สอนสัตบุรุษระหว่างการเข้าเฝ้าทั่วไป ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน วันนี้ พระสันตะปาปาทรงแบ่งปันเรื่องงานแห่งความเมตตา ซึ่งได้แก่ การต้อนรับผู้ลี้ภัยที่เป็นคนแปลกหน้าและไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่

พระสันตะปาปาตรัสว่า

- ยุคนี้ วิกฤติเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญได้เป็นตัวกระตุ้นทัศนคติของคนให้ปิดตัวและไม่ต้อนรับผู้ลี้ภัย นี่ถือเป็นเรื่องโชคร้ายมากสำหรับผู้ลี้ภัย ในบางพื้นที่ของโลก มีการสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางไว้คอยสกัดผู้ลี้ภัยที่จะอพยพเข้ามาในประเทศเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีชายและหญิงบางคนที่ทำงานเมตตาแบบเงียบๆ ด้วยการช่วยเหลือผู้อพยพและลี้ภัยสงคราม

- การปิดตัวเองไม่ต้อนรับผู้ลี้ภัยไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องของปัญหาวิกฤติผู้ลี้ภัย เพราะสุดท้ายแล้ว ปัญหานี้จะจบลงด้วยอาชญากรรมการค้ามนุษย์ ทางแก้วิกฤตินี้มีทางเดียวคือเราต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้ลี้ภัยและคนต่างชาติต่างภาษา เราต้องอย่ากีดกันใครโดยเด็ดขาด พ่อขอย้ำว่า สังฆมณฑล คณะนักบวช เขตวัด และหน่วยงานคริสตชนต่างๆ พวกเราทั้งหมดถูกเรียกมาเพื่อให้การต้อนรับพี่น้องที่หนีตายจากสงคราม ความอดอยาก ความรุนแรง และสภาพอันโหดร้ายของชีวิต

- พ่อขอแบ่งปันเรื่องจริงเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยให้เราฟังกัน เรื่องมีอยู่ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งเจอผู้ลี้ภัยมาถามทางไปมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ผู้ลี้ภัยคนนี้ต้องการไปประตูศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยคนนี้เป็นผู้ชาย เนื้อตัวสกปรก และเดินเท้าเปล่า ปรากฏว่า ผู้หญิงคนนี้ตัดสินใจจะพาผู้ลี้ภัยไปที่วาติกัน เธอเรียกแท็กซี่ แต่คนขับไม่เต็มใจจะรับผู้ลี้ภัยขึ้นรถไปด้วย เหตุผลคือกลิ่นตัวแรงมาก แต่สุดท้าย ผู้หญิงคนนี้ขอร้องสุดความสามารถให้พาเธอและผู้ลี้ภัยไปวาติกัน

- ระหว่างทาง ผู้ลี้ภัยได้ขอบคุณผู้หญิงคนนี้และเล่าความเจ็บปวดจากสงคราม ความอดอยาก และการหนีตายให้ผู้หญิงคนนี้ฟัง คนขับได้ถามผู้หญิงคนนี้ว่า ผู้ลี้ภัยพูดว่าอะไรบ้าง ผู้หญิงคนนี้จึงแปลให้เขาฟัง พอถึงวาติกัน ปรากฏว่า คนขับแท็กซี่ไม่ขอรับเงินค่ารถจากผู้หญิงคนนี้ และตอบเธอไปว่า 'ผมต่างหากที่ต้องจ่ายเงินให้คุณ เพราะผมได้ฟังเรื่องราวที่เปลี่ยนความคิดและจิตใจของผมมากทีเดียว'

- สาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้เต็มใจจะช่วยผู้ลี้ภัย เพราะเธอเป็นชาวอาร์เมเนียซึ่งเคยต้องลี้ภัยสงครามเช่นเดียวกัน เธอจึงเข้าใจความรู้สึกของผู้ลี้ภัยที่หนีตายและอดอยากได้เป็นอย่างดี

- เรื่องนี้สอนเราได้เป็นอย่างดี ตอนแรก เราอาจไม่เต็มใจช่วยผู้ลี้ภัย เพราะเขาตัวเหม็น แต่ตอนจบกลายเป็นว่า เรื่องของผู้ลี้ภัยตัวเหม็นกลายเป็นน้ำหอมให้จิตวิญญาณของเราและเปลี่ยนความคิดเราสิ้นเชิง ดังนั้น พ่ออยากให้เราไตร่ตรองเรื่องนี้ และคิดดูซิว่า เราจะช่วยผู้ลี้ภัยได้อย่างไรบ้าง

- การติดตามพระคริสตเจ้า เราต้องไม่ปิดหัวใจของเราต่อผู้ต้องการความช่วยเหลือ แต่จงเปิดใจ เปิดตัวเองช่วยเหลือคนอื่น ถ้าทำได้แบบนี้ สังคมเราจะมีแต่ความสงบสุขและทุกคนจะดำเนินชีวิตในวิถีทางที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อกัน

หลังการเทศน์สอนจบลง พระสันตะปาปายังทรงขอร้องทุกคนสวดสายประคำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่สวดแค่เดือนตุลาคมอย่างเดียว เพียงเพราะนี่เป็นเดือนแม่พระแห่งสายประคำ

Comments