โป๊ปฟรังซิส: "ความยากจนคือสิ่งท้าทายให้คิดด้วยสติว่า เราจะเบือนหน้าหนีหรือจะเข้าไปช่วยเหลือ"

  • สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอน การเห็นความยากจนคือการท้าทายเราให้คิดอย่างมีสติว่า เราจะเบือนหน้าหนีหรือจะเข้าไปช่วยเหลือ 
  • ทรงชี้ คนที่เลือกเบือนหน้าหนีไม่ช่วยเหลือ ต้องไตร่ตรองว่า เวลาสวดบทข้าแต่พระบิดา ตนเองใส่ใจกับสิ่งที่สวดหรือเปล่า โดยเฉพาะคำว่า 'โปรดประทานอาหารประจำวัน' 
  • ทรงย้ำ ยังมีคนที่อดอยากและหิวโหยซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากพระสันตะปาปา ดังนั้น พระองค์ไม่สามารถมอบหมายหน้าที่ที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้ใครไปทำแทนได้ 
  • ทรงแบ่งปัน พระวรสารที่พระเยซูทรงทำอัศจรรย์กับขนมปังและปลา สอนว่า ถ้าเราวางใจในสิ่งเล็กๆ ที่เรามีไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซู และเราแบ่งปันสิ่งเล็กๆ นี้แก่กัน เมื่อนั้น สิ่งเล็กๆ นี้จะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างล้นเหลือเลยทีเดียว




ช่วงสายวันพุธที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงออกมาพบปะและเทศน์สอนสัตบุรุษในการเข้าเฝ้าทั่วไป ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน โดยวันนี้ พระสันตะปาปาทรงเทศน์สอนเรื่องการช่วยเหลือผู้อดอยากและให้น้ำดื่มแก่ผู้กระหาย

พระสันตะปาปาทรงเทศน์สอนว่า

- หนึ่งในผลลัพธ์ของสิ่งที่เรียกว่า 'กินดีอยู่ดี' ก็คือ การนำพาให้เราจมอยู่กับตัวเองและทำตัวตายด้านต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ความจริงที่เราต้องยอมรับก็คือ บ่อยครั้ง เราเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมงานแห่งเมตตาธรรมคือเสียงเรียกให้เราช่วยเหลือคนที่อดอยากและหิวโหย กล่าวคือ เราต้องแบ่งอาหารให้คนอดอยากซึ่งมีมากมายในทุกวันนี้ และให้น้ำดื่มแก่ผู้ที่หิวกระหาย

- บ่อยครั้งแค่ไหนกันที่เราได้รับการย้ำเตือนจากสื่อถึงผู้ที่กำลังทนทุกข์จากการขาดอาหารและน้ำ เฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ที่ต้องทนทุกข์ระทมจากการขาดสิ่งเหล่านี้ เราพบเห็นข่าวเหล่านี้ และบางที ด้วยภาพข่าวที่ปรากฏ สังคมรู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วยและมันสามารถนำไปสู่การรณรงค์ให้ความช่วยเหลือและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้อได้รับการจัดขึ้นและช่วยเหลือคนทุกข์ยาก รูปแบบของความรักความเมตตาเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่บางที มันไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเราโดยตรง

- แต่เมื่อเราข้ามถนนและพบเห็นคนยากไร้เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเรา สถานการณ์จะดูแตกต่างจากตัวอย่างเมื่อครู่ทันที เพราะเราไม่ได้ถูกนำเสนอด้วยภาพข่าวที่ปรากฏ แต่เราเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยตัวเราเองแล้ว

- ความยากจนอยู่ในรูปแบบของนามธรรม แต่มันท้าทายเรา มันทำให้เราคิดอย่างมีสติ เมื่อใดก็ตามที่เราพบเห็นความยากจนอยู่ในตัวคน ทั้งชาย หญิง หรือเด็ก สิ่งนี้จะท้าทายเรา ว่าแต่ เราควรจะตอบสนองกรณีแบบนี้อย่างไร เราจะเบือนหน้าหนีและเดินจากไปไหม หรือว่าเราจะหยุดพูดกับคนนั้น และแสดงออกว่าเราสนใจช่วยเขาจริงๆ

- ถ้าเราหยุดและพูดกับคนนั้น บางคนอาจพูดกับเราว่า 'คุณบ้าหรือเปล่าที่ไปพูดกับขอทาน' เราลองคิดซิว่า เราจะทำอย่างไร เราจะรีบๆ หนีให้เร็วที่สุดหรือ ทั้งที่เขาอาจจะมาแค่ขออาหารและน้ำดื่มเท่านั้นเองนะ พูดถึงตรงนี้ พ่ออยากให้เราไตร่ตรองสักครู่ว่า บ่อยครั้งแค่ไหนที่เวลาเราสวดบทข้าแต่พระบิดา เราไม่ได้ให้ความใส่ใจอย่างจริงจังกับความหมายของสิ่งที่เราสวดออกไป ความหมายที่ว่า 'โปรดประทานอาหารประจำวัน'

- ประสบการณ์ของการเป็นผู้อดอยากหิวโหยมันสาหัสมากนะ ใครก็ตามที่เคยมีชีวิตในช่วงสงครามจะรู้ซึ้งดีว่ามันสาหัสเพียงใด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทุกวันนี้ ยังมีคนที่อดอยากและหิวกระหายซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากตัวพ่อเอง และพ่อไม่สามารถมอบหมายหน้าที่ที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้ใครไปทำแทนได้ คนยากไร้ยังต้องการพ่อ พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากพ่อ ต้องการการดูแลและการให้กำลังใจจากพ่อ นี่คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเราทุกคน

- พระวรสารตอนที่พระเยซูทรงทำอัศจรรย์กับขนมปังและปลา เป็นบทสอนสำคัญมากกับพวกเรา นี่คือการสอนว่า ถ้าเราวางใจในสิ่งเล็กๆ ที่เรามีไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซู และเราแบ่งปันสิ่งเล็กๆ นี้แก่กัน เมื่อนั้น สิ่งเล็กๆ นี้จะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างล้นเหลือเลยทีเดียว

Comments