โป๊ปฟรังซิส: "สังฆราช สงฆ์ และนักบวช อย่าติดกับดักความสุขสบายและปิดตัวเองจากการรับใช้"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอนบรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ และนักบวชของโปแลนด์ เราอย่าติดกับดักความสุขสบายและปิดตัวเอง พระเยซูสอนเราให้เปิดตัวรับใช้คนอื่น นักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 ก็สอนเราให้เปิดประตูให้กว้างเพื่อต้อนรับพระคริสตเจ้า ทรงย้ำ การเปิดตัวเองรับใช้ผู้อื่นคือการดำเนินชีวิตแบบไม่ถือครองสมบัติส่วนตัว ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ไม่สร้างฐานอำนาจทางโลก และไม่เสียเวลาไปกับวางแผนความสุขของตน ทรงถามบรรดาศาสนบริกร ถ้าหนังสือเรื่องพระเมตตาของพระเจ้า มีหน้าหนึ่งที่เป็นเรื่องความเมตตาที่เราทำต่อเพื่อนมนุษย์ หน้านี้จะเป็น "หน้าว่างเปล่า" หรือเปล่าไม่ 









ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จไปยังสักการะสถานพระเมตตา เพื่อจาริกแสวงบุญผ่านประตูศักดิ์สิทธิ์ จากนั้น ทรงภาวนาหน้ารูปพระเมตตาและหลุมศพของนักบุญโฟสติน่า, โปรดศีลอภัยบาปให้เยาวชน และถวายมิสซาร่วมกับบรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์และนักบวชคาทอลิกของโปแลนด์

สำหรับบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาทรงสอนบรรดาพระสงฆ์และนักบวช ใจความว่า

- วันนี้ มี 3 สิ่งที่พ่ออยากแบ่งปันและเตือนใจพวกเราทุกคน สิ่งแรก ค่ำวันอาทิตย์ปาสกา ท่านจำได้ไหมว่าบรรดาศิษย์ทำอะไรกัน พวกเขารวมตัวกันในสถานที่ปิด สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับที่พระเยซูสอน พระองค์ต้องการให้พระศาสนจักรก้าวไปข้างหน้า พระองค์ต้องการให้พระศาสนจักรเปิดตัวเองสู่โลก ความต้องการนี้พระเยซูทรงบอกกับเราทุกคนด้วย ว่าแต่ เราทุกคนหลงลืมคำขอจากนักบุญจอห์น ปอล ที่ 2 ไปได้อย่างไร คำขอที่ว่า 'จงเปิดประตูให้กว้างเพื่อต้อนรับพระคริสต์'

- ในชีวิตสงฆ์และนักบวช บ่อยครั้ง เราถูกประจญล่อลวงให้ปิดตัวเอง เพื่อหนีจากความกลัวหรือความสุขสบาย แต่พระเยซูตรัสกับเราโดยตรงว่า 'การติดตามเราเป็นแบบไปอย่างเดียว เส้นทางนี้ไม่มีตั๋วให้ย้อนกลับ' พระเยซูไม่ชอบการเดินทางที่เป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ ประตูที่เดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิด เราดูได้จากชีวิตของพระเยซู พระองค์ทรงใกล้ชิดบรรดาศิษย์ และเราก็ถูกเรียกมาทำแบบนั้นเช่นกัน เราต้องใกล้ชิดสัตบุรุษด้วยความรักที่จับต้องได้ ในทำนองเดียวกัน เราต้องรับใช้และทำตัวให้ว่างเสมอเพื่อรับใช้ประชากรของพระเจ้า นี่คือชีวิตที่ไม่ปิดตายและไม่ใช่ชีวิตที่ครอบครองสมบัติส่วนตัว คนที่เลือกทางเดินนี้คือคนที่สละความพึงพอใจจากการทำตัวเองให้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เขาไม่ได้สร้างฐานอำนาจทางโลก หรือลงหลักปักฐานกับมุมสบายของตัวเอง พวกเขาไม่ได้เสียเวลาไปกับการวางแผนสร้างอนาคตที่มั่นคงแต่อย่างใด

- สิ่งที่สอง สิ่งที่นักบุญโทมัสทำในวันที่พระเยซูเสด็จกลับคืนชีพ ท่านลังเล สงสัย และพยายามจะทำความเข้าใจกับการกลับคืนชีพของพระเยซู แต่บางครั้งมันดูเหมือนเป็นคนดื้อรั้นมากกว่า สิ่งนี้เหมือนกับพวกเราเลย เราสงสัย แต่พระเยซูก็นำตัวเองมาอยู่ใกล้เรา แต่เราก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี จำได้ใช่ไหมว่า พระเยซูตรัสกับนักบุญโฟสติน่าว่า พระองค์ดีใจเสมอเวลาที่เราบอกสิ่งต่างๆ กับพระองค์ พระองค์ไม่เคยเบื่อเวลาเราพูดกับพระองค์เลย (บันทึกของนักบุญโฟสติน่า วันที่ 6 ก.ย. ค.ศ.1937) ดังนั้น เราต้องแสวงหาพระเจ้าผ่านการภาวนา อย่ากลัวที่จะบอกสิ่งต่างๆ รวมถึงปัญหาชีวิตกับพระองค์

- สิ่งสุดท้าย หนังสือทรงชีวิตเรื่องพระเมตตาของพระเจ้าต้องได้รับการอ่านและอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือหนังสือที่เปิดออกและเรียกเราทุกคนให้ช่วยกันเขียนงานของความเมตตาลงไป พ่อขอถามสิ่งหนึ่งให้พวกท่านไปคิดดู 'ถ้าหนังสือเล่มนี้ มีหน้าหนึ่งที่เป็นเรื่องของเรา มันจะเป็นหน้าว่างๆ หรือเปล่า' อยากให้ทุกคนได้ลองไปคิดกันดูนะ


Comments