โป๊ปฟรังซิส: "เราต้องกล้ามือเปรอะเปื้อนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ถูกทำร้าย"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอน เราต้องเป็นเหมือนชาวสะมาเรียผู้ใจดีที่ยอมมือเปรอะเปื้อนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ถูกทำร้าย อย่าทำตัวเหมือนพระสงฆ์ที่เอาแต่เรีงรีบ ดูเวลาและบอกต้องรีบไปถวายมิสซา หรืออย่าเหมือนพวกธรรมาจารย์ที่เชื่อพระเจ้าแต่จิตใจแข็งกระด้าง ไม่ช่วยเหลือใคร ทรงย้ำอีกรอบ พระสงฆ์ต้องแยกแยะให้ดีกับการทำพิธีแต่งงานให้คู่สมรสที่ถูกสังคมบีบคั้นให้แต่ง เพราะท้องก่อนแต่ง ทรงยอมรับ หลักสูตรอบรมเตรียมคู่สมรสก่อนแต่งงาน แค่ 3-4 คาบ ไม่เพียงพอที่จะทำให้บางคนเข้าใจถึงการแต่งงานแบบคาทอลิกที่ต้องอยู่ด้วยกันไปจนตาย



ช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จไปยังบ้านนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นบ้านดูแลผู้พิการและเด็กผู้ยากไร้ในกรุงโรม พิธีวันนี้ เริ่มด้วยบทพระวรสารเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี

โอกาสนี้ พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันพวกเขาว่า

- เราได้ยินลักษณะของคนหลายแบบจากพระวรสารตอนนี้ แต่ใครล่ะที่สอบผ่านในฐานะเพื่อนมนุษย์ ใช่โจรหรือเปล่า ใช่สมณะหรือชาวเลวีหรือเปล่า หรือจะเป็นคนเฝ้าประตูของโรงแรมที่ชาวสะมาเรียแบบคนชาวยิวที่ถูกปล้นคนนั้นไปพักรักษา บางที ไม่มีสักคนเลยก็ว่าได้ที่เป็นคำตอบของคำถามนี้

- สมณะหรือพระสงฆ์ดูเร่งรีบมาก มันก็เหมือนพระสงฆ์ทุกคนนั่นแหละ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเอาแต่มองนาฬิกาและพูดว่า 'ผมต้องไปถวายมิสซาแล้ว' ส่วนธรรมจารย์ก็กลัวว่า ถ้าตนเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ (ช่วยคนเจ็บ) วันรุ่งขึ้นเขาอาจต้องไปขึ้นศาลให้ปากคำ และจะทำให้เขาเสียวันทำงานไป

- ในทางตรงกันข้าม คนบาปที่เป็นคนต่างชาติต่างศาสนา ซึ่งไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า กลับพบว่าตนเองมีความรู้สึกเป็นทุกข์ไปกับชาวยิวที่ถูกปล้น ทั้งพระสงฆ์ นักกฎหมาย และชาวสะมาเรีย ทั้งหมดเห็นชายที่ถูกปล้นคนนี้ ทั้งหมดรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ละคนจึงตัดสินใจตามความคิดของตน

- ทีนี้ ลองมาคิดดูว่า ถ้าเราเป็นคนเฝ้าประตูโรงแรม เราจะมองเรื่องนี้อย่างไร เราคงงงกับสิ่งที่เกิดและคิดว่า ชาวสะมาเรียนี่บ้าไปแล้วแน่ๆ มาช่วยชาวยิวที่เกลียดกัน และยังพามารักษาที่โรงแรม ยิ่งกว่านั้น ยังออกเงินให้อีก นี่มันบ้ามากๆ เลยนะเนี่ย

- ถ้าเราเป็นคนเฝ้าประตูโรงแรม เราคิดว่าใครที่เป็นประจักษ์พยานถึงพระเจ้า พระสงฆ์เหรอ? ไม่ใช่เลย คนเฝ้าประตูไม่เห็นพระสงฆ์โผล่มาเลยด้วยซ้ำ นักกฎหมายหรือ? ก็ไม่อีกแหละ แล้วคนบาปอย่างชาวสะมาเรียล่ะ นี่แหละใช่เลย! เขาไม่ได้เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ยังเป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าการเป็นประจักษ์พยาน

- ดังนั้น พ่ออยากให้ทุกคนที่อยู่ที่บ้านแห่งนี้ อย่าทำตัวเหมือนพระสงฆ์ที่มัวแต่เร่งรีบ อย่าเป็นเหมือนนักกฎหมายที่คอยแสดงความเชื่อในพระเจ้าด้วยความแข็งกระด้าง แต่จงเป็นเหมือนชาวสะมาเรียผู้ใจดีที่ยอมมือเปรอะเปื้อนและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก

ช่วงท้ายของการแบ่งปัน พระสันตะปาปาทรงตอบคำถามจากผู้เข้าเฝ้า คำถามนี้เกี่ยวกับเรื่องมุมมองของพระองค์ที่มีต่อ "การแต่งงานอันเกิดจากภาวะสังคมรอบข้างบีบคั้นว่า ‎เมื่อท้องแล้วก็ต้องแต่ง" ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงกันมากในกรุงโรม

พระสันตะปาปาตอบว่า "พ่อยังย้ำเหมือนเดิมว่า มีคู่บ่าวสาวบางคู่ไม่เข้าใจศีลสมรส พวกเขาแต่งงานกันเพราะภาวะบีบคั้นนี้เท่านั้น (ท้องก่อนแต่ง) แต่นี่คือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่แยกจากกันไม่ได้ การแต่งงานแบบคาทอลิกต้องเตรียมตัวอย่างดีและอยู่กันไปตลอดชีวิต พ่อรู้ว่า มันไม่เพียงพอหรอกกับการอบรมคู่สมรสก่อนแต่งงาน มันใช้เวลาแค่ 3-4 คาบเท่านั้น ดังนั้น พระสงฆ์ต้องแยกแยะดีๆ ก่อนจะทำพิธีแต่งงานให้กับกรณีแบบนี้"

Comments