โป๊ปฟรังซิส: "สารของวันปาสกาคือความหวังตามแบบฉบับคริสตชน นี่ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีแต่อย่างใด"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงชี้ สารของวันปาสกาคือความหวังตามแบบฉบับคริสตชน สิ่งนี้ไม่ใช่การมองโลกแง่ดีหรือจิตวิทยากระตุ้นให้เรามีความกล้า ทรงย้ำ คริสตชนต้องประกาศความหวังนี้ให้ทุกคน ไม่ใช่ประกาศเพื่อตัวเราเอง เราประกาศได้ด้วยการดำเนินชีวิตและความรักของเรา ถ้าพระศาสนจักรไม่ประกาศและมอบความหวังให้โลก เราจะกลายเป็นแค่หน่วยงานสากลที่มีคนติดตามจำนวนมากและมีกฏระเบียบเต็มไปหมด แต่ไม่ได้ช่วยให้โลกมีความหวังขึ้นมาเลย 








ช่วงค่ำวันเสาร์ที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เป็นประธานในพิธีคืนตื่นเฝ้าปาสกา เสกน้ำ เสกไฟ และโปรดศีลล้างบาปให้กับคริสตชนใหม่ 12 คน โดย 6 คนมาจากอัลแบเนีย, 2 คนจากเกาหลีใต้, 1 คนจากอิตาลี, แคเมอรูน และจีน และแบ่งเป็นชาย 4 คน ผู้หญิง 8 คน พิธีนี้จัดในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน

สำหรับบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า

- พระวรสารคืนนี้ เราได้ฟังเหตุการณ์ที่สตรีไปบอกสาวกทั้ง 11 คนว่าเข้าไปในคูหาแล้วไม่พบศพพระเยซู และได้พบกับทูตสวรรค์ซึ่งแจ้งว่าพระเยซูทรงกลับคืนชีพแล้ว แต่ว่าสาวกทั้ง 11 ไม่เชื่อ จากนั้น เปโตรลุกขึ้นและรีบวิ่งไปยังคูหา เขาเลือกจะไม่อยู่บ้านเหมือนที่สาวกคนอื่นทำกัน เปโตรไม่จำนนต่อบรรยากาศซึมเศร้าในช่วงนั้น และก็ไม่จำนนต่อความสงสัยของตนเอง เปโตรแสวงหาพระเยซู เขาเลือกที่จะเดินบนหนทางของการพบหน้าและวางใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไปที่คูหาฝังศพ ณ ที่นั่น เขากลับมาบ้านด้วยความประหลาดใจ

- สิ่งที่เกิดขึ้นคือจุดเริ่มต้นของการกลับมามีชีวิตใหม่ของเปโตร นั่นคือ การที่หัวใจของเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง หัวใจของเขาไม่เศร้าและมืดมนอีกต่อไป เขาสร้างห้องใหม่ให้กับความหวังในใจ เขายอมให้ความสว่างของพระเจ้าเข้าสู่จิตใจของตนเอง

- สตรีเหล่านั้นก็เช่นกัน เช้าตรู่วันนั้นพวกเธอเตรียมจะไปทำงานที่เปี่ยมด้วยความเมตตาด้วยการนำเครื่องหอมมาที่คูหาฝังศพ พวกเธอตกใจกลัวและก้มหน้ามองดินเมื่อเห็นทูตสวรรค์ แต่แล้วพวกเธอก็ได้รับแรงกระตุ้นจากวาจาของทูตสวรรค์ที่กล่าวว่า "พวกเธอมองหาคนเป็นในหมู่คนตายทำไม"

- พวกเราก็เช่นกัน เราต้องเป็นเหมือนเปโตรและสตรีเหล่านี้ เราไม่สามารถพบกับชีวิตด้วยการเป็นทุกข์โศกและไร้ความหวัง ขอให้เราอย่าถูกจองจำอยู่ในตัวเอง แต่ของให้เราทลายหินที่คูหานั้น เพื่อให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเรา พระคริสตเจ้าต้องการเข้ามาในชีวิตของเรา จับมือเรา และนำเราออกจากความเศร้าโศก นี่คือหินก้อนแรกที่ถูกกลิ้งออกในคืนนี้ หินของการไร้ความหวังซึ่งจองจำเราไว้กับตัวเอง ขอให้เราอย่าปล่อยให้ความมืดและความกลัวมากวนใจและสั่งการเรา แต่เราต้องร้องออกมาว่า พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้แล้ว พระองค์เสด็จกลับคืนชีพแล้ว พระองค์คือความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระองค์อยู่ข้างเราเสมอและไม่ทำให้เราล้มลง

- สิ่งนี้แหละคือพื้นฐานแห่งความหวังของเรา มันไม่เหมือนการมองโลกในแง่ดี และมันก็ไม่ใช่ทัศนคติเชิงจิตวิทยาและความปรารถนาจะมีความกล้า แต่ความหวังตามแบบฉบับคริสตชนคือของขวัญที่พระเจ้ามอบให้เรา ถ้าเราก้าวออกจากตัวเองและเปิดใจให้กับพระองค์

- ดังนั้น ปาสกาคือการเฉลิมฉลองแห่งความหวังของเรา นี่คือการฉลองแห่งความจริง ไม่มีสิ่งใดและไม่มีใครจะมาพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้

- พระเจ้ากลับเป็นขึ้นมาแล้ว และพระเจ้าต้องการที่จะถูกแสวงหาในหมู่คนเป็น หลังจากพบพระองค์แล้ว เราแต่ละคนจะถูกส่งออกไปประกาศการกลับคืนชีพนี้ เพราะนี่คือสารของปาสกา กล่าวคือ เราต้องออกไปปลุกและทำให้ความหวังในใจของคนที่ถูกเผาไหม้ด้วยความเศร้าโศกได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยังแสวงหาความหมายของชีวิต

- อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ประกาศตัวเราเอง แต่เราต้องเป็นข้ารับใช้ของความหวัง เราต้องประกาศการเสด็จกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้าโดยผ่านทางชีวิตของเราและความรักของเรา มิฉะนั้น ตัวเรา (พระศาสนจักร) จะกลายเป็นแค่หน่วยงานสากลที่เต็มไปด้วยผู้ติดตามจำนวนมากและกฏเกณฑ์ต่างๆ แต่ไม่สามารถมอบความหวังให้กับโลก

ประมวลภาพ: คืนตื่นเฝ้าปาสกาที่วาติกัน


Comments