ตามโป๊ปฟรังซิสไปอเมริกาใต้ ตอนป้ายสาม "ปารากวัย"

จุดหมายสุดท้ายในการเยือนอเมริกาใต้ของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ก็คือ “ปารากวัย” ระยะเวลาที่พระสันตะปาปาอยู่ในประเทศนี้คือ 48 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 กรกฏาคม – วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2015  รายละเอียดเจาะลึกจะเป็นอย่างไร เราไปติดตามบทสรุปกันเลย



เราต้องอย่าลืมประวัติศาสตร์ของประเทศที่เราอยู่

เย็นวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม หลังจากเสด็จมาถึงกรุงอาซุนซีออน เมืองหลวงของปารากวัย พระสันตะปาปาได้มุ่งหน้าไปยังทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อร่วมพิธีต้อนรับจากคณะผู้บริหารประเทศ โอกาสนี้ พระองค์ตรัสสุนทรพจน์ใจความว่า “ข้าพเจ้าอยากเน้นย้ำว่า พลเมืองชาติใดที่หลงลืมรากเหง้าประวัติศาสตร์ของตน อนาคตของประเทศนั้นก็น่าเป็นห่วงอย่างมาก นอกจากนี้ เราต้องรำลึกและจดจำประวัติศาสตร์ของชาติเราว่า เราเคยผ่านความขัดแย้งและความรุนแรงอะไรมาบ้าง เพื่อที่เราจะเอาชนะความเกลียดชังและไม่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก”

จงดูแบบอย่างเด็กๆ ในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย

เช้าวันเสาร์ที่ 11 กรกฏาคม พันธกิจแรกของวัน พระสันตะปาปาเสด็จไปเยี่ยมเด็กๆ ที่โรงพยาบาลเด็กนินอส เด อกอสต้า นู โอกาสนี้ พระสันตะปาปาตรัสเชิญชวนทุกคนให้เรียนรู้การดำเนินชีวิตจากเด็กๆ


“พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้ว่า ทำไมเด็กๆ ที่มาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ถึงเต็มใจสู้กับความเจ็บป่วยด้วยความชื่นชมยินดี พวกลูกทุกคนเป็นนักสู้ที่สอนพวกเราผู้ใหญ่ว่า เวลาเราเจ็บป่วย เราต้องอย่ายอมแพ้สิ้นหวัง แต่จงน้อมรับความเจ็บป่วยและสู้แบบลูกหลานเหล่านี้ ... นอกจากนี้ พ่ออยากให้ลูกๆ สวดให้พระสันตะปาปาด้วย เสียงจากคำภาวนาของลูกจะถูกได้ยินในสวรรค์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ตัวพระสันตะปาปาก็จะสวดให้ลูกๆ ทุกคนเช่นกัน”

สดุดีสตรีปารากวัยที่ถูกกดขี่ในยุคเผด็จการ

จากนั้น พระสันตะปาปาเสด็จไปถวายมิสซา ณ สักการะสถานแม่พระแห่งกากูเป้ ซึ่งเป็นสักการะสถานแม่พระที่สำคัญสุดในปารากวัย มิสซานี้ มีสัตบุรุษมาร่วมประมาณ 90,000 คน



บทเทศน์ในมิสซานี้ พระสันตะปาปาทรงสดุดีบทบาทของสตรีในสังคมปารากวัยว่า “จากประสบการณ์ที่พ่อเห็นและสัมผัสได้ มันคงไม่เกินเลยไปนักที่จะบอกว่าพวกท่านก็เป็นเหมือนแม่พระที่เสียสละอย่างหนัก เพื่อรักษาความทรงจำต่างๆ ของครอบครัวเอาไว้ ตอนที่แม่พระให้กำเนิดพระเยซู แม่พระก็ไม่มีบ้านอยู่ สิ่งนี้ก็เหมือนกับที่พวกท่านต้องประสบในยุคที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ สตรีจำนวนมากถูกบังคับให้ใช้แรงงาน เพื่อแลกกับค่าจ้างอันน้อยนิดมากๆ แต่พวกท่านก็ตั้งใจทำงานนั้นโดยไม่บ่น เพื่อจะได้ประคับประคองครอบครัวให้ก้าวเดินต่อไปอย่างอบอุ่นและไร้ซึ่งปัญหาใดๆ นี่คือความทรงจำที่พวกเราต้องอย่าหลงลืมเด็ดขาด นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่คนเป็นแม่มีต่อครอบครัว แม้ตัวเองจะต้องทนทุกข์ก็ตาม” 

อย่ามองว่า ฟังคำสอนปู่ย่าตายายเป็นเรื่องเสียเวลา

ช่วงบ่าย พระสันตะปาปาเสด็จไปพบกับผู้แทนภาคประชาชน ซึ่งมีทั้งหน่วยงานระดับยักษ์ใหญ่ไล่มาจนถึงหน่วยงานเล็กๆ ในระดับเยาวชน

หนึ่งในบทสอนสำคัญ พระสันตะปาปาตรัสกับเยาวชนว่า “อย่ากลัวว่าการฟังคำสอนจากปู่ย่าตายายหรือผู้อาวุโสจะกลายเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะการเสียเวลาฟังสิ่งดีๆ ที่กลั่นออกมาจากใจแบบนี้ ดีกว่าการเสียเวลานั่งฟังคำพูดสวยหรูที่นำไปลงมือปฏิบัติไม่ได้จริง พ่ออยากแบ่งปันว่า พ่อรู้สึกสะอิดสะเอียนมาก เวลาได้ฟังสุนทรพจน์หรือโอวาทที่สวยหรูเวลามีพิธีต่างๆ แต่สุนทรพจน์นั้น ไม่ได้ออกมาจากใจ มันเป็นเพียงแค่คำพูดสวยหรูที่พูดเพื่อให้คนอื่นปรบมือชื่นชมตนเองเท่านั้น คำพูดพวกนี้คือการโกหก มันเป็นลมปากที่ไร้ค่ามากๆ

พระสงฆ์และนักบวชอย่าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าสัตบุรุษ

พิธีสุดท้ายของวันนี้ พระสันตะปาปาทรงเป็นประธานในการสวดทำวัตรเย็นร่วมกับบรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ และนักบวชชาวปารากวัย ภายในอาสนวิหารอัสสัมชัญ



สำหรับบทเทศน์ในพิธีนี้ มีว่า “พ่อขอเรียกร้องให้ทุกคนรักและเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าแตกแยกกันเด็ดขาด เฉพาะอย่างยิ่ง พระสังฆราชกับพระสงฆ์ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันให้มากๆ จงร่วมมือกันทำงานและจงทำตัวให้ว่างเสมอในการทำงานอภิบาลรับใช้สัตบุรุษ ถ้าหากความแตกแยกนำเราไปสู่ความแร้นแค้น ในทางกลับกัน ความสามัคคีและเป็นหนึ่งเดียวกันก็จะนำไปสู่การบังเกิดผล เพราะนี่คือสิ่งที่เราได้รับจากพระจิต

“อีกสิ่งที่พ่ออยากเตือนสติก็คือ พระสังฆราช พระสงฆ์ และนักบวช พวกเราต่างได้รับกระแสเรียกจากพระเจ้า แต่เราต้องอย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่า คนที่ได้รับกระแสเรียกนี้มีความพิเศษและอยู่เหนือกว่าสัตบุรุษ คนที่ได้รับกระแสเรียกให้มารับใช้พระองค์ต้องอย่าอวดตัว อย่าทำตัวเพื่อได้รับการสรรเสริญ อย่าทำตัวเป็นเหมือนรูปปั้นที่ทุกคนจะต้องมาเคารพเด็ดขาด”

เราต้องเปิดใจต้อนรับคนอื่น สำคัญสุดต้องเปิดใจต้อนรับคนบาป

เช้าวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม วันสุดท้ายของพระสันตะปาปาในการเยือนอเมริกาใต้ พิธีแรกของวันนี้คือมิสซาซึ่งจัดบริเวณสนามบินกองทัพอากาศปารากวัยและมีสัตบุรุษมาร่วมกว่า 1.5 ล้านคน นอกจากนี้ ความพิเศษของพระแท่นในพิธีคือทำมาจากข้าวโพดและมะพร้าวที่บรรดาชาวไร่ชาวสวนจากทั่วประเทศพร้อมใจถวายเพื่อมิสซานี้โดยเฉพาะ



สำหรับบทเทศน์ประจำพิธี พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า “คริสตชนคือคนที่เรียนรู้ที่จะต้อนรับผู้อื่นอยู่เสมอ คริสตชนต้องเป็นคนที่พร้อมเปิดรับคนอื่นและแสดงออกถึงมิตรภาพที่ดี พระเยซูไม่เคยส่งบรรดาศิษย์ออกไปทำพันธกิจเพื่อให้พวกเขาเป็นผู้นำผู้ปกครอง เป็นเจ้าของที่ดิน เป็นผู้บัญชาการกองทัพ และผู้คุมกฏต่างๆ แต่พระองค์ทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ออกไปเปลี่ยนจิตใจของผู้คน จากที่ปิดตายให้กลายเป็นมาเปิดต้อนรับคนอื่น 

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเวลาเราประกาศพระวรสารแล้วเราคิดกลยุทธ์หรือแท็กติกเพื่อไปแข่งกันหาเหตุผลเพื่อเอาชนะกัน มันถึงจบลงด้วยความล้มเหลวอยู่เสมอ เพราะพระเยซูไม่เคยสอนสิ่งนี้ พระองค์สอนแค่ว่า จงไปเปลี่ยนจิตใจของทุกคนจากที่ปิดตายให้กลายมาเป็นเปิดใจต้อนรับคนอื่นก็พอ

“พระศาสนจักรก็เช่นกัน เราเป็นแม่ เราต้องเปิดต้อนรับคนอื่นด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ พระศาสนจักรต้องเรียนรู้ที่จะพูดภาษาแห่งการต้อนรับด้วยมิตรไมตรีที่ดีงาม อาทิ ต้อนรับผู้ยากไร้ ผู้หิวโหย ผู้ถูกกดขี่ข่มเหง สำคัญสุด เราต้องต้อนรับคนบาปที่กลับใจ เพื่อให้พวกเขาได้กลับมารับพระเมตตาจากพระเจ้า”

เยาวชนต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ อย่าเมินเฉยคนทุกข์ร้อน

มาถึงพิธีสุดท้ายในการเยือนปารากวัย นั่นคือ การพบปะกับเยาวชนกว่า 250,000 คน พระสันตะปาปายังคงมาสไตล์เดิมของพระองค์ นั่นคือ การเทศน์สอนแบบสดๆ โดยไม่ใช้แบบร่างที่เตรียมมานั่นเอง

พระสันตะปาปา ตรัสว่า “สิ่งแรกที่พ่ออยากสอนลูกทุกคนคือจงเป็นคนกตัญญูและดูแลพ่อแม่ยามที่ท่านชราภาพ อย่าปล่อยให้พ่อแม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะตอนที่เรายังเป็นเด็ก ท่านก็ไม่ทอดทิ้งเรา เราต้องตอบแทนพวกท่าน เราทุกคนจะได้รับการตัดสินตามที่พระเยซูสอนนั่นคือ ‘เมื่อเราหิว ท่านได้ให้อาหาร เมื่อเรากระหาย ท่านให้เราดื่มน้ำ เมื่อเราเจ็บป่วยท่านได้พยาบาล เราจะต้อนรับท่านในบ้านพระบิดาของเรา’ 

“พ่อไม่ต้องการเห็นเยาวชนที่ทำตัวเฉยชา ไม่สนใจความทุกข์ยากของคนอื่น นอกจากนี้ อย่าเป็นเยาวชนที่รู้สึกเหนื่อยล้าเร็วเกินไปและเบื่อชีวิตจนแสดงออกทางสีหน้า การเป็นเยาวชนเป็นวัยรุ่น มันต้องสดใสและเปี่ยมด้วยพลังที่จะก้าวไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พ่ออยากย้ำอีกอย่างคือการเป็นเยาวชน เราต้องรู้จักเสียสละและมีใจที่เป็นอิสระ อย่าเป็นทาสทางวัตถุนิยมเด็ดขาด” พระสันตะปาปา ตรัสในช่วงท้าย



Comments