ตามโป๊ปฟรังซิสไปอเมริกาใต้ ตอนป้ายแรก "เอกวาดอร์"

การเสด็จอภิบาลคริสตชนทวีปอเมริกาใต้ (เอกวาดอร์ - โบลิเวีย - ปารากวัย) ของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ระหว่างวันที่ 5-13 กรกฏาคม 2015 มีเหตุการณ์หลายอย่างน่าสนใจชวนให้ติดตามเป็นอย่างมาก หากใครที่ใช้โซเชี่ยล มีเดีย เป็นประจำ คงจะเห็นข้อมูลที่ถูกนำเสนออย่างล้นทะลักก็ว่าได้ ส่วนสื่อในเมืองไทย ก็ให้ความสนใจตามข่าวของพระองค์ไม่แพ้กัน 



ส่วน Pope Report หลังจากประกาศปรับวิธีการนำเสนอข่าวแล้ว เราก็ยังติดตามพระสันตะปาปาอยู่เหมือนเดิม และนี่คือสิ่งที่เราจะมาสรุปให้ทุกท่านได้ติดตามกัน โดยจะเจาะลึกเป็นรายประเทศไปว่า พระสันตะปาปาทรงทำอะไรบ้าง

บทความวันนี้ เริ่มที่ "เอกวาดอร์" จุดหมายแรกของการเยือนก่อนเลย

เวลาครอบครัวมีปัญหา จงวอนขอพระเจ้าด้วยความมั่นใจ

วันจันทร์ที่ 6 กรกฏาคม 2015 พันธกิจแรกของพระสันตะปาปาคือการไปถวายมิสซาที่เมืองกวายากิล ประเทศเอกวาดอร์ (กีโต้เป็นเมืองหลวง แต่เมืองใหญ่สุดของเอกวาดอร์คือกวายากิล) สถิติจากรัฐบาลเอกวาดอร์ระบุว่า กวายากิลมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 3 ล้านคน สำหรับมิสซานี้ มีคนมาร่วม 1 ล้านคน เท่ากับ 1 ใน 3 ของประชากรเลยทีเดียว

พระวรสารประจำมิสซานี้ เป็นเหตุการณ์ที่พระเยซูและแม่พระไปร่วมงานแต่งงานที่เมืองคานา พระสันตะปาปาทรงเทศน์สอนด้วยการยก "แม่พระ" ว่าเป็นแบบอย่างของทุกครอบครัว "มีเหตุการณ์มากมายในทุกวันนี้ที่เป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เมืองคานา เราได้เห็นไวน์ (เหล้าอุง่น) ซึ่งเป็นครื่องหมายของความสุขและความบริบูรณ์ได้หมดลงไป มันมีครอบครัวมากมายหลายครอบครัวใช่ไหมที่สัมผัสได้ว่า ความสุขและความบริบูรณ์ได้หมดไปแล้วในครอบครัวของตน มีผู้หญิงกี่คนที่กำลังซึมเศร้าและถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว มีคนชรากี่คนที่ต้องถูกทอดทิ้งในขณะที่ลูกหลานกำลังจัดงานเฉลิมฉลองกัน แม่พระตอบสนองสิ่งเหล่านี้ด้วยการเข้าไปหาพระเยซูด้วยความมั่นใจและวอนขอให้พระเยซูช่วย นี่คือสิ่งที่ครอบครัวยุคนี้ควรดูไว้เป็นแบบอย่าง เมื่อมีปัญหา เราต้องเข้าไปหาพระเยซู สวดขอพระองค์ด้วยความมั่นใจ สวดด้วยความหวัง และวางทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ คำภาวนาจะนำเราให้หลุดพ้นจากความกังวลและความกลัว

"ครอบครัวคือเมืองหลวงของสังคม พ่ออยากขอร้องให้เราช่วยกันปกป้องสถาบันครอบครัว ครอบครัวคือพระศาสนจักรเล็กๆ ที่รำพึงถึงความอ่อนโยนและความเมตตาจากพระเจ้า แม้ว่าบางครั้ง ครอบครัวของเราจะไม่ได้เป็นไปตามที่เราวาดฝันไว้ แต่ทุกๆ วัน ภายในครอบครัวของเรา อัศจรรย์จะเกิดขึ้นเสมอด้วยสิ่งที่เรามี"

ประกาศข่าวดีต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ใช้คำพูดสวยๆ

วันอังคารที่ 7 กรกฏาคม 2015 พระสันตะปาปาทรงเริ่มต้นพันธกิจวันใหม่ด้วยการกลับมาที่กรุงกีโต้ เมืองหลวงของเอกวาดอร์ เพื่อถวายมิสซาที่มีสัตบุรุษมาร่วมกว่า 1.2 ล้านคน ความพิเศษของมิสซานี้คือ พระสันตะปาปาทรงสวมกาซูลาที่ถักทอจากชนพื้นเมืองของเอกวาดอร์ และไม้เท้าที่ใช้ก็ทำจากไม้ที่เมืองเบ็ธเลเฮม




สำหรับบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาตรัสว่า "การประกาศข่าวดีไม่ได้ประกอบไปด้วยการใช้คำพูดสวยหรูหรือเต็มไปด้วยแนวคิดที่สลับซับซ้อน แต่การประกาศข่าวดีต้องเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในพระวรสาร การประกาศข่าวดีไม่ใช่การบังคับคนอื่นให้เปลี่ยนศาสนา แต่การประกาศข่าวดีคือการทำตัวเองให้เป็นประจักษ์พยานถึงพระเจ้าให้กับคนที่อยู่ห่างไกลจากพระองค์ การประกาศข่าวดียังหมายถึงการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่ความเป็นหนึ่งเดียวกันนอกพระศาสนจักรเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระศาสนจักรด้วย

"ความเป็นหนึ่งเดียวกันต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าหรือไม่ เพราะสิ่งนี้จะนำเราให้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่นด้วย การเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าไม่ได้หมายความว่า เราทุกคนต้องเป็นเหมือนกันหมด เรามีความแตกต่างกันได้ แต่เราต้องมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน พระเยซูทรงภาวนาขอพระบิดาเพื่อให้เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน และนี่แหละคือสิ่งที่พระศาสนจักรประกาศด้วยความชื่นชมยินดี"

พระเยซูไม่ทำตัวเป็นศาสตราจารย์ แต่ทรงใช้คำพูดให้สัมผัสใจคนฟัง

หลังถวายมิสซาแล้ว พระสันตะปาปาได้เสด็จไปพบกับบรรดาอาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในสันตะสำนัก

โอกาสนี้ พระสันตะปาปาตรัสกับพวกเขาว่า "ขอให้เราดูแบบอย่างจากพระเยซู พระองค์ไม่เคยทำจ้องจะปฏิบัติตัวเป็นศาสตราจารย์ แต่พระองค์เลือกจะพูดให้ไปสัมผัสกับจิตใจของคนที่มาหาพระองค์ คนที่เป็นครูอาจารย์ อย่าวางตัวเป็นศาสตราจารย์จนหลงลืมการอบรมนักเรียนนักศึกษาให้เปี่ยมด้วยความรับผิดชอบต่อปัญหาของโลกในยุคนี้ อาทิ การช่วยเหลือผู้ยากไร้และห่วงใยสิ่งแวดล้อม เพราะสาระที่แท้จริงของการประกาศข่าวดีคือการกระตุ้นให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมให้เปี่ยมด้วยความยุติธรรมและห่วงใยสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า

"พ่ออยู่ที่กรุงโรม ตอนฤดูหนาวจะมีคนไร้ที่อยู่อาศัยที่อยู่รอบๆ วาติกัน เสียชีวิตจากการหนาวตาย แต่หนังสือพิมพ์ไม่ลงข่าวพวกนี้เลย เพราะมันไม่ใช่ข่าวน่าสนใจ ข่าวน่าสนใจคือหุ้นตก! แค่หุ้นตก 2 จุดก็เป็นพาดหัวข่าวกันแล้ว ดังนั้น คำถามของพ่อที่อยากถามครูอาจารย์ก็คือ ในฐานะผู้ให้การศึกษา พวกท่านช่วยเหลือลูกศิษย์ในการเปิดใจและพร้อมรับมือกับปัญหาเหล่านี้กันหรือเปล่า ท่านทำเป็นเฉยๆ หรือว่ากระตุ้นให้ลูกศิษย์เกิดความห่วงใยต่อข่าวคนยากไร้บ้างไหม"

ความรักของพ่อแม่จะช่วยสอนลูกให้เอาชนะความเห็นแก่ตัว

พิธีการสุดท้ายของวันอังคารที่ 7 กรกฏาคม ก็คือ พระสันตะปาปาเสด็จมาพบปะและกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลและผู้แทนประชาชนของเอกวาดอร์ พิธีนี้จัดในวัดนักบุญฟรานซิส กรุงกีโต้

สำหรับพระดำรัสที่พระสันตะปาปาทรงกล่าวกับทุกคน มีใจความว่า "ในครอบครัวของเรา เมื่อสมาชิกในครอบครัวมีปัญหา ไม่ว่ามันจะหนักหนาแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะสร้างปัญหานี้ขึ้นมาด้วยตัวเองหรือไม่ แต่สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวก็พร้อมจะเป็นทุกข์และช่วยเหลือเขาจากปัญหานี้ ปัญหาของเขาคือปัญหาของทุกคนในครอบครัว แต่กับสังคมของเราล่ะ เรามีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นหรือเปล่า ความสัมพันธ์ในสังคมและชีวิตนักการเมืองเป็นแบบนี้บ้างไหม หรือเราคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แผนงานของเราต้องเดินไปข้างหน้า โดยไม่ห่วงใยคนที่ประสบปัญหาทุกข์ยากในชีวิตเลย

"พ่อมีเรื่องอยากแบ่งปัน นี่คือสิ่งที่พ่อชอบถามเด็กๆ ในบัวโนสไอเรส (เมืองหลวงของอาร์เจนตินา) อยู่เป็นประจำ เวลาที่พ่อเห็นเด็กๆ มีลูกอมอยู่ 2 เม็ด พ่อจะถามว่า 'ถ้ามีเพื่อนมาขอกินด้วย ลูกจะให้เขาไหม' เด็กจะตอบพ่อแบบแตกต่างกันออกไป บางคนตอบว่า 'ให้เพื่อน 1 เม็ด แล้วเก็บไว้เอง 1 เม็ด' หรือบางคนตอบว่า 'ไม่ให้ ถ้ามีเพื่อมาขอ ก็จะซ่อนไว้ในกระเป๋า' เรื่องแบบนี้ ความรักของพ่อแม่จะช่วยลูกให้เอาชนะความเห็นแก่ตัวได้นะ เพราะลูกต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตร่วมกับคนอื่น เราต้องรู้จักแบ่งปันความสุขความทุกข์ร่วมกัน เราต้องรู้จักอดทน ในสังคมขนาดใหญ่ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่พิเศษอะไร แต่มันคือสิ่งจำเป็นเหมือนกันในการสร้างความยุติธรรมในสังคมของเรา"

พระสงฆ์และนักบวชอย่าลืมตัว อย่าลืมความกตัญญู

วันพุธที่ 8 กรกฏาคม พันธกิจสุดท้ายของการเยือนเอกวาดอร์ก็คือพระสันตะปาปาเสด็จไปยังสักการะสถาน เอล กินเช่ เพื่อพบปะและให้โอวาทแก่บรรดาพระสงฆ์และนักบวชชายหญิงในเอกวาดอร์

พระสันตะปาปาตรัสกับพวกเขาแบบสดๆ จากใจโดยไม่ใช้แผ่นโอวาทที่เตรียมมา ใจความว่า "พระสงฆ์และนักบวชต้องอย่าหลงลืมพระหรรษทานแห่งความกตัญญู อย่าสูญเสียความทรงจำเด็ดขาดว่า เรามาจากไหน อย่าเหลิงและคิดว่าสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ทุกวันนี้คือการถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาให้สูงขึ้น พ่อขอพูดเรื่องนี้เป็นพิเศษกับคนที่เข้าบ้านเณรและอารามนักบวช และทำตัวแบบว่า ไม่อยากจะพูดภาษาท้องถิ่นของตนแล้ว นี่คือการหลงลืมที่พ่อขอเรียกว่า 'อัลไซเมอร์'

"ความกตัญญูรู้คุณคือพระหรรษทาน นี่คือการรับใช้ตามกระแสเรียกที่ได้รับ เมื่อพระสงฆ์คนหนึ่งคิดว่าการเป็นพระสงฆ์และได้รับการเลื่อนขั้นคือความก้าวหน้าทางอาชีพ เส้นทางชีวิตจิตของเขาก็จบลงแล้ว มันน่าเกลียดมากเมื่อคนๆ หนึ่งเริ่มจะหลงลืมความสำนึกต่อความกตัญญู

"พ่อขอร้องพวกท่านช่วยสวดให้พ่อด้วย เพราะหลายครั้ง ตัวพ่อเองก็หลงลืมความกตัญญูนี้ นายชุมพาบาลไม่ได้เดินนำหน้าฝูงแกะเท่านั้น แต่ยังต้องเดินอยู่ตรงกลางและเดินอยู่ข้างหลังฝูงแกะด้วย"

หลังจากนี้ พระสันตะปาปาได้ประทับเครื่องบินพระที่นั่งออกจากกรุงกีโต้ ประเทศเอกวาดอร์ มุ่งหน้าสู่กรุงลาปาซ เมืองหลวงของโบลิเวีย ต่อไป


Comments