โป๊ปฟรังซิส: "เราเป็นคริสตชนที่ไล่คนไปไกลๆ จากพระเยซู หรือเป็นคริสตชนที่พาคนมาใกล้พระเยซู"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงตั้งคำถาม เราเป็นคริสตชนที่ขับไล่คนให้ไปไกลๆ พระเยซู หรือเราเป็นคริสตชนที่นำคนให้เข้ามาพระเยซู ทรงแบ่งปัน คริสตชนมี 3 ประเภท หนึ่งคือพวกที่ห่วงแต่ตัวเอง ไม่รู้สึกรู้สาไรเลยถ้าเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก สนแต่ว่าพระเยซูจะอวยพรตัวเองอย่างไร สองคือคริสตชนที่ทำงานให้พระเจ้า ใกล้ชิดพระ แต่ขับไล่คนที่มาหาพระเจ้าให้ไปไกลๆ เพื่อที่จะใช้พระเจ้ามาสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจให้ตนเอง สามคือคริสตชนที่ทำทุกทางให้คนเข้ามาใกล้พระเยซู เพราะได้ยินเสียงร่ำไห้ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา


ช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา พระวรสารวันนี้ บาร์ทิเมอุส ชายตาบอดที่ตะโกนเรียกหาพระเยซูด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พวกอัครสาวกพยายามสั่งให้เขาเงียบ สุดท้าย พระเยซูสั่งให้พา บาร์ทิเมอุส มาหาพระองค์ และรักษาเขาจนกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

พระสันตะปาปาทรงเทศน์แบ่งปันว่า "พระวรสารวันนี้ ทำให้พ่อคิดถึงคริสตชน 3 ประเภท ประเภทที่หนึ่ง คริสตชนที่ห่วงแต่ความสัมพันธ์ของตัวเองกับพระเยซู ถือเป็นความสัมพันธ์แบบปิดตายและเห็นแก่ตัว คนพวกนี้ไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของคนอื่นเลย แม้แต่ในยุคนี้ คนพวกนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเยซู คนพวกนี้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยว่าใครเดือดร้อนอะไรบ้าง พวกเขาไม่ได้ยิน พวกเขาคิดว่าชีวิตคือกลุ่มของตัวเองเท่านั้น พวกเขาสุขใจกับตัวเองเท่านั้น พวกเขาหูหนวกต่อเสียงร้องของผู้คนมากมายที่ต้องการความรอดและความช่วยเหลือจากพระเยซู พวกเขาเห็นแก่ตัว มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น พวกเขาไม่มีความสามารถในการได้ยินเสียงของพระเยซู

"ประเภทที่สอง คริสตชนที่ได้ยินเสียงร่ำไห้ขอความช่วยเหลือ แต่เลือกจะทำเป็นนิ่งเฉย คนที่ทำตัวแบบนี้ก็เหมือนบรรดาอัครสาวกนั่นแหละที่พยายามไล่เด็กๆ ให้ไปไกลๆ จากพระเยซู เพียงเพราะคิดว่าเด็กๆ จะมารบกวนอาจารย์ของพวกเขา แต่หารู้ไม่ พระเยซูคืออาจารย์ของเด็กเหล่านี้ คนประเภทนี้กีดกันพระเยซูจากคนที่ร่ำไห้ คนที่ต้องการความเชื่อและความรอด ในคนประเภทนี้ เราจะพบพวกที่ทำงานใกล้ชิดกับพระเยซู เราจะพบพวกที่อยู่ในพระวิหาร คนพวกนี้ดูเหมือนเคร่งศาสนา แต่พระเยซูทรงขับไล่พวกเขาเพราะพวกเขาทำธุรกิจในบ้านของพระเจ้า คนประเภทนี้ไม่ต้องการฟังเสียงร่ำไห้ขอความช่วยเหลือ แต่เลือกจะดูแลแต่ธุรกิจของตน ใช้ประชากรของพระเจ้าและใช้พระศาสนจักรเพื่อธุรกิจของตัวเอง คนประเภทนี้คือคริสตชนที่ไม่เป็นประจักษ์พยานนั่นเอง

"พวกเขาเป็นคริสตชนแต่ชื่อ เป็นคริสตชนห้องนั่งเล่น เป็นคริสตชนแค่ที่จุดต้อนรับ แต่ชีวิตภายในของเขาแล้วไม่ใช่คริสตชน มันเป็นชีวิตทางโลก บางคนเรียกตัวเองว่าเป็นคริสตชนและดำเนินชีวิตด้วยจิตตารมณ์ทางโลก ขับไล่คนที่กรีดร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู นี่คือคนที่โหดร้ายสุดๆ คนพวกนี้ถูกพระเยซูตำหนิว่าวางภาระหนักอึ้งไว้บนบ่าของคนอื่น (แต่ตัวเองไม่ทำอะไรเลย) พระเยซูทรงตำหนิคนพวกนี้อยู่ในพระวรสารของนักบุญแม็ทธิว บทที่่ 23 ว่า 'พวกคนเสแสร้ง'

"สุดท้าย ประเภทที่สาม คริสตชนที่ช่วยคนอื่นๆ ให้เข้ามาใกล้พระเยซู นี่คือคริสตชนที่มีความสม่ำเสมอในสิ่งที่ตัวเองเชื่อและดำเนินชีวิตตามที่พระเยซูสอน พวกเขานำคนที่ร่ำไห้ขอความช่วยเหลือ คนที่ต้องการความรอดพ้น คนที่แสวงหาพระหรรษทาน และแสวงหาจิตวิญญาณที่เข้มแข็งให้เข้ามาใกล้ๆ พระเยซู

"มันจึงเป็นการดีสำหรับเราแต่ละคนที่จะตรวจสอบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรา เพื่อจะได้เข้าใจว่า เราเป็นคริสตชนที่ขับไล่คนให้ไปไกลๆ จากพระเยซู หรือเราเป็นคนที่นำคนมาหาพระเยซู เพราะเราได้ยินเสียงร่ำไห้จากคนที่ต้องการความรอด" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย

Read More: Vatican Radio

Comments