โป๊ปฟรังซิส: "กลุ่มคริสตชนต้องความสามัคคี ยึดมั่นประโยชน์ส่วนรวม และอดทนต่อปัญหา"
สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอน การจะดูว่ากลุ่มคริสตชนที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่จากพระจิต ให้ดูที่ความสามัคคีในกลุ่ม การยึดมั่นผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และเวลาเจอปัญหาร้ายๆ จะอดทนยืนหยัดต่อปัญหาที่พบ ทรงเตือน อย่าใช้พระศาสนจักรเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง อย่าเอาเงินที่โกงคนอื่นมาทำบุญเด็ดขาด

ช่วงเช้าวันอังคารที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา บทอ่านวันนี้จากหนังสือกิจการอัครสาวก เป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มคริสตชนดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง แต่ถือเป็นของส่วนรวม ทุกคนรักและสามัคคีกันอย่างมาก
พระสันตะปาปาทรงแบ่งปันบทอ่านนี้ว่า "นี่คือกลุ่มคริสตชนที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ในพระจิตผู้แสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวกันและยืนหยัดในความทุกข์ยากด้วยความอดทน มีเพียงพระจิตเท่านั้นที่สามารถประทานความเป็นหนึ่งเดียวกันให้กับเรา เพราะพระจิตคือความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระบิดาและพระบุตร ความเป็นหนึ่งเดียวกันคือคุณลักษณะแรกของกลุ่มคริสตชนยุคแรกเริ่มที่กรุงเยรูซาเล็ม
"คุณลักษณะที่สองได้แก่ การยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวม เราเห็นว่า ไม่มีใครอ้างสิทธิ์ในการครอบครองสิ่งที่ตนมี แต่พวกเขาถือว่าทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม ไม่มีคนที่ต้องการจะครอบครองสิ่งของแต่เพียงผู้เดียวในหมู่พวกเขาเลย จริงอยู่ที่มันอาจมีคนรวยในหมู่พวกเขาบ้าง แต่ความร่ำรวยนี้ก็ถูกนำเสนอผ่านทางการรับใช้ชุมชน นี่คือสองคุณลักษณะของกลุ่มคริสตชนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในพระจิต"
จากนั้น พระสันตะปาปาทรงเตือนสติคริสตชนว่าอย่านำเงินที่โกงคนอื่นมาทำบุญเด็ดขาด และอย่าใช้พระศาสนจักรเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง โดยทรงยกเหตุการณ์ที่ "อานาเนียส์" และ "ซัปฟีร่า" สามีภรรยาที่โกงเงินจากการขายที่ดิน และยักยอกเงินส่วนหนึ่งเป็นของตัวเอง ส่วนเงินที่เหลือค่อยมอบให้บรรดาอัครสาวก (กิจการอัครสาวก 5:1-11)
พระสันตะปาปาตรัสว่า "อานาเนียส์ และ ซัปฟีร่า เข้ามาในกลุ่มคริสตชนด้วยการทำตัวเสแสร้งว่าเป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนจักร แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาใช้พระศาสนจักรเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
"ส่วนคุณลักษณะที่สามของกลุ่มคริสตชนที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่โดยพระจิต ก็คือ เปี่ยมด้วยความอดทนต่อปัญหาต่างๆ กล้ายืนหยัดอยู่ในช่วงเวลายากลำบากและความเจ็บปวดต่างๆ กล้าลุกขึ้นเผชิญหน้ากับการนินทาให้ร้าย และกล้าทนทุกข์ไปกับผู้เจ็บป่วยและผู้ที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป
"กลุ่มคริสตชน(ที่ได้รับการฟื้นฟูจากพระจิต) แสดงให้เห็นว่า พวกเขาได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่จริงๆ พวกเขาแสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีความแตกแยกภายในกลุ่ม เมื่อกลุ่มคริสตชนแสวงหาความยากจน ไม่ซุกความร่ำรวยไว้เพื่อตัวเองเท่านั้น และไม่แสดงความโมโหหรือคุกคามคนอื่น เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แต่เลือกจะอดทนอดกลั้น พวกเขาก็เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว
"ในสัปดาห์ที่สองของเทศกาลปาสกาที่เรากำลังเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกแห่งการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซู มันคงเป็นการดีที่เราจะคิดถึงกลุ่มคริสตชนของเรา ไม่ว่าจะเป็นสังฆมณฑล เขตวัด ครอบครัว หรือกลุ่มย่อยต่างๆ ขอให้เราวอนขอพระเจ้าสำหรับพระหรรษทานแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน จงวอนขอพระพรจากพระจิต จงวอนขอพระพรของความยากจน ความยากจนนี้ไม่ใช่ทุกข์โศก แต่เป็นความยากจนที่ทำให้เราสามารถจัดการความอยากที่จะครอบครองสิ่งต่างๆ และกล้ายึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวม นอกจากนี้ ขอให้เราวอนขอพระหรรษทานแห่งความอดทนด้วย" พระสันตะปาปา ตรัสในช่วงท้าย
Read More: Vatican Radio

ช่วงเช้าวันอังคารที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา บทอ่านวันนี้จากหนังสือกิจการอัครสาวก เป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มคริสตชนดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง แต่ถือเป็นของส่วนรวม ทุกคนรักและสามัคคีกันอย่างมาก
พระสันตะปาปาทรงแบ่งปันบทอ่านนี้ว่า "นี่คือกลุ่มคริสตชนที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ในพระจิตผู้แสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวกันและยืนหยัดในความทุกข์ยากด้วยความอดทน มีเพียงพระจิตเท่านั้นที่สามารถประทานความเป็นหนึ่งเดียวกันให้กับเรา เพราะพระจิตคือความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระบิดาและพระบุตร ความเป็นหนึ่งเดียวกันคือคุณลักษณะแรกของกลุ่มคริสตชนยุคแรกเริ่มที่กรุงเยรูซาเล็ม
"คุณลักษณะที่สองได้แก่ การยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวม เราเห็นว่า ไม่มีใครอ้างสิทธิ์ในการครอบครองสิ่งที่ตนมี แต่พวกเขาถือว่าทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม ไม่มีคนที่ต้องการจะครอบครองสิ่งของแต่เพียงผู้เดียวในหมู่พวกเขาเลย จริงอยู่ที่มันอาจมีคนรวยในหมู่พวกเขาบ้าง แต่ความร่ำรวยนี้ก็ถูกนำเสนอผ่านทางการรับใช้ชุมชน นี่คือสองคุณลักษณะของกลุ่มคริสตชนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในพระจิต"
จากนั้น พระสันตะปาปาทรงเตือนสติคริสตชนว่าอย่านำเงินที่โกงคนอื่นมาทำบุญเด็ดขาด และอย่าใช้พระศาสนจักรเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง โดยทรงยกเหตุการณ์ที่ "อานาเนียส์" และ "ซัปฟีร่า" สามีภรรยาที่โกงเงินจากการขายที่ดิน และยักยอกเงินส่วนหนึ่งเป็นของตัวเอง ส่วนเงินที่เหลือค่อยมอบให้บรรดาอัครสาวก (กิจการอัครสาวก 5:1-11)
พระสันตะปาปาตรัสว่า "อานาเนียส์ และ ซัปฟีร่า เข้ามาในกลุ่มคริสตชนด้วยการทำตัวเสแสร้งว่าเป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนจักร แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาใช้พระศาสนจักรเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
"ส่วนคุณลักษณะที่สามของกลุ่มคริสตชนที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่โดยพระจิต ก็คือ เปี่ยมด้วยความอดทนต่อปัญหาต่างๆ กล้ายืนหยัดอยู่ในช่วงเวลายากลำบากและความเจ็บปวดต่างๆ กล้าลุกขึ้นเผชิญหน้ากับการนินทาให้ร้าย และกล้าทนทุกข์ไปกับผู้เจ็บป่วยและผู้ที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป
"กลุ่มคริสตชน(ที่ได้รับการฟื้นฟูจากพระจิต) แสดงให้เห็นว่า พวกเขาได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่จริงๆ พวกเขาแสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีความแตกแยกภายในกลุ่ม เมื่อกลุ่มคริสตชนแสวงหาความยากจน ไม่ซุกความร่ำรวยไว้เพื่อตัวเองเท่านั้น และไม่แสดงความโมโหหรือคุกคามคนอื่น เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แต่เลือกจะอดทนอดกลั้น พวกเขาก็เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว
"ในสัปดาห์ที่สองของเทศกาลปาสกาที่เรากำลังเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกแห่งการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซู มันคงเป็นการดีที่เราจะคิดถึงกลุ่มคริสตชนของเรา ไม่ว่าจะเป็นสังฆมณฑล เขตวัด ครอบครัว หรือกลุ่มย่อยต่างๆ ขอให้เราวอนขอพระเจ้าสำหรับพระหรรษทานแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน จงวอนขอพระพรจากพระจิต จงวอนขอพระพรของความยากจน ความยากจนนี้ไม่ใช่ทุกข์โศก แต่เป็นความยากจนที่ทำให้เราสามารถจัดการความอยากที่จะครอบครองสิ่งต่างๆ และกล้ายึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวม นอกจากนี้ ขอให้เราวอนขอพระหรรษทานแห่งความอดทนด้วย" พระสันตะปาปา ตรัสในช่วงท้าย
Read More: Vatican Radio
Comments
Post a Comment