โป๊ปฟรังซิส: "จิตตารมย์ทางโลกจะทำให้หัวใจของเราตายด้านไร้ความรู้สึก"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอน จิตตารมย์ทางโลกจะทำให้หัวใจของเราตายด้านไร้ความรู้สึก มันทำให้จิตวิญญาณของเรามืดมิด มองเห็นแต่ตัวเอง แต่ไม่เคยห่วงใยคนยากจนและคนที่ประสบทุกข์ยาก ทรงเตือน คนที่ไปวัดร่วมมิสซาก็อาจตกเป็นเหยื่อจิตตารมย์ทางโลกได้เหมือนกัน แม้เราไปวัดและทำบุญ แต่ไม่ช่วยผู้ยากไร้ เราก็ไม่ต่างจากเศรษฐีที่ตายไปแล้วต้องทนทุกข์ทรมาน ทรงชี้ คนที่มีหัวใจแบบจิตตารมย์ทางโลก เมื่อตายไปแล้ว โลกจะไม่จดจำชื่อของเรา เหมือนอย่างเศรษฐีคนนั้นที่ตายไปแล้ว พระวรสารยังไม่กล่าวถึงชื่อของเขาเลย



ช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา พระวรสารวันนี้ พระเยซูทรงเล่าอุปมาให้พวกฟาริสีฟัง เป็นเรื่องเศรษฐีที่แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีราคาแพง กินอยู่หรูหรา จัดเลี้ยงทุกวัน กับลาซารัส คนยากจนที่นอนอยู่หน้าประตูบ้านของเศรษฐีคนนี้

พระสันตะปาปาทรงเทศน์สอนแบ่งปันพระวรสารตอนนี้ว่า "พวกเราไม่เคยได้ยินว่า เศรษฐีคนนี้พูดจาให้ร้ายใคร พวกเราไม่เคยได้ยินว่าเศรษฐีคนนี้เป็นคนไม่ดี ในความเป็นจริงแล้ว บางที เขาอาจเป็นศาสนิกชน เขาสวดภาวนาบ้าง แต่อาจ 2-3 ครั้งต่อปี แน่นอน เขาไปศาลาธรรมเพื่อถวายเครื่องบูชาต่อสมณะ จากนั้น พวกสมณะก็จัดเตรียมที่นั่งให้เศรษฐีได้นั่งแถวหน้าในศาลาธรรมเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เขา อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ไม่ได้สนใจ ลาซารัส คนขอทานผู้ยากไร้ที่อยู่ตรงประตู ลาซารัสอดอยากและเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งความเจ็บปวด

"ลองจินตนาการสถานการณ์ของเศรษฐีดูนะ เขากำลังจะเข้าไปในตัวเมือง เราลองจินตนาการถึงรถยนต์ของเขาที่มีกระจกติดฟิล์มสีอ่อนๆ เพื่อไม่ให้คนนอกมองเข้ามาแล้วรู้ว่าคนในนั้นคือใคร แต่แน่นอนที่สุดก็คือจิตวิญญาณและดวงตาของจิตวิญญาณของเขาได้มืดมิดจนเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ เขาเห็นแต่ชีวิตของตัวเองและไม่ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง เขาไม่ใช่คนเลว แต่เขาป่วย ป่วยด้วยจิตตารมย์ทางโลก

"จิตตารมย์ทางโลกที่แปรเปลี่ยนจิตวิญญาณของเขาให้สูญเสียความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของความจริง จิตวิญญาณตามประสาโลกดำเนินชีวิตอยู่ในโลกจอมปลอม จิตตารมย์ทางโลกทำให้จิตวิญญาณของเราตายด้านไร้ความรู้สึก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเศรษฐีคนนี้ถึงไม่สามารถมองเห็นสภาพความเป็นจริง ซึ่งก็คือ มีคนยากจนมากมายที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางเรา

"มีคนมากมายที่อยู่ที่นี่ พวกเขาต้องแบกรับความยากลำบากมากมายในชีวิตและต้องดำเนินชีวิตอยู่ในความแร้นแค้นสุดๆ แต่ถ้าเรามีหัวใจแบบจิตตารมย์ทางโลก เราจะไม่มีวันเข้าใจความยากลำบากพวกนี้เลย มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะมีหัวใจแบบจิตตารมย์ทางโลกและจะมาเข้าใจความต้องการ รวมถึงความจำเป็นแบบสุดๆ ของผู้อื่น

"ในพระวรสารวันนี้ เราได้เห็นการตัดสินพิพากษา 2 ครั้ง ครั้งแรกคือความเจ็บปวดของคนที่เชื่อในโลกกับพระพรสำหรับผู้ที่วางใจในพระเจ้า เศรษฐีเอาใจของตนออกห่างจากพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ จิตวิญญาณของเขาจึงว่างเปล่ากลายเป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยเกลือและความว่างเปล่า สำหรับจิตตารมย์ทางโลก ความจริงที่ปรากฏก็คือเขาจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวพร้อมกับความเห็นแก่ตัวของตนเอง จิตตารมย์ทางโลกเปี่ยมด้วยหัวใจที่เจ็บป่วย

"ดูซิ ชายยากจนคนนั้นมีชื่อว่าลาซารัส แต่เศรษฐีคนนั้นล่ะ ชื่อของเขาไม่ถูกบันทึกไว้ด้วยซ้ำ เศรษฐีไม่มีชื่อ เพราะโลกไม่จดจำชื่อของเขา

"ครั้งที่สอง เมื่อเศรษฐีที่กำลังรับทรมานอยู่ วอนขออับราฮัมให้ส่งลาซารัสไปนำน้ำมาให้เขาหน่อย อับราฮัมตอบอย่างไร? อับราฮัมคือภาพลักษณ์ของพระเจ้าพระบิดา อับราฮัมตอบกลับว่า 'ลูกเอ๋ย จำได้ไหม' นี่คือการย้ำอีกครั้งว่า จิตตารมย์ทางโลกได้สูญเสียชื่อของตัวเองไปแล้ว พวกเราก็เช่นกัน ถ้าเรามีหัวใจตามแบบจิตตารมย์ทางโลก พวกเราก็จะสูญเสียชื่อของตนเองไป" พระสันตะปาปา ตรัสในตอนท้าย

Read More: Vatican Radio


Comments