โป๊ปฟรังซิส: "พระคาร์ดินัลต้องเห็นอกเห็นใจคนทุกข์ยาก จงถลกแขนเสื้อและออกไปช่วยพวกเขา"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงย้ำ พระคาร์ดินัลต้องเปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจและต้องฟื้นฟูสิทธิของคนที่ถูกมองข้ามความสำคัญให้กลับมาอีกครั้ง ทรงสอน จงกล้าถลกแขนเสื้อขึ้น ออกลุยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก อย่ามัวแต่ยืนดูเฉยๆ ทรงชี้ ความเมตตาไม่สามารถวางตัวเป็นกลางได้ เราต้องไม่นิ่งเฉยเมื่อเห็นคนทุกข์ร้อน แต่ความเมตตาคือการกล้าออกไปเสี่ยงกับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ช่วยเหลือเขา ช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน



ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซา พร้อมกับบรรดาพระคาร์ดินัลใหม่ที่ได้รับแต่งตั้งเมื่อวานนี้ พิธีนี้ จัดในมหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมจำนวนมาก ในส่วนพระวรสารประจำวันนี้ เป้นเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงรักษาคนป่วยโรคเรื้อน โดยไม่ลังเลใจเลย

พระสันตะปาปาทรงเทศน์สอนจากพระวรสารว่า "พระเยซูทรงรู้สึกสงสารและยื่นพระหัตถ์ออกไปสัมผัสผู้ป่วยโรคเรื้อน พระองค์ตรัสว่า 'เราพอใจ จงหายเถิด' (มธ 1:40-41) นี่คือความเห็นอกเห็นใจและความสงสารของพระเยซู ความสงสารเห็นอกเห็นใจนี้ทำให้พระเยซูทรงใกล้ชิดกับทุกคนที่เจ็บปวด! พระเยซูไม่ถอยห่างจากพวกเขา แต่พระองค์ทรงเข้าไปสัมผัสกับทุกคนที่เจ็บป่วยและต้องการความช่วยเหลือ ด้วยเหตุผลเรียบง่ายนี้ พระองค์ทรงรู้และต้องการที่จะแสดงออกถึงความสงสารเห็นใจ เพราะพระองค์ทรงมีหัวใจไม่อายเลยที่จะมีความสงสารต่อคนอื่น

"ความรู้สึกสงสารเห็นใจนำพระเยซูให้ทรงแสดงออกอย่างจับต้องได้ พระองค์รักษาคนที่ถูกมองข้ามความสำคัญให้กลับมาสำคัญอีกครั้ง! นี่คือ 3 แนวทางหลักที่พระศาสนจักรได้นำเสนอในพิธีวันนี้ นั่นคือ ความรู้สึกสงสารเห็นใจของพระเยซู ในการเผชิญหน้ากับคนที่ไม่มีใครให้ความสำคัญ และความปรารถนาของพระองค์ที่จะฟื้นฟูสิทธิของคนกลับมาอีกครั้ง

"คนที่ไม่มีใครให้ความสำคัญนั้น ในธรรมบัญญัติของโมเสส กล่าวไว้ว่า พวกนี้คือคนที่ต้องถูกแยกออกไปต่างหาก ... สังคมปฏิเสธพวกเขาและบังคับให้พวกเขาต้องอยู่ไกลๆ จากคนที่สุขภาพแข็งแรง มันเป็นการกีดกันพวกเขา ถ้าคนปกติคนไหนเข้าสัมผัสคนโรคเรื้อน เขาจะถูกลงโทษอย่างหนัก จะถูกปฏิบัติเหมือนคนโรคเรื้อนด้วย วัตถุประสงค์ของการทำแบบนี้เพื่อปกป้องสุขภาพและความชอบธรรม และยังเป็นการกำจัดภัยอันตรายด้วยการดูแลคนป่วยอย่างหยาบคายด้วย

"การฟื้นฟูสิทธิของคน (การฟื้นฟูคนที่ถูกมองข้าม) พระเยซูไม่ได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของโมเสส แต่พระองค์มาเพื่อเติมเต็ม พระเยซูปฏิเสธที่จะประณามหญิงคนบาป แต่ทรงช่วยเธอจากการถูกหินทุ่มตามธรรมบัญญัติของโมเสส พระเยซูทรงปฏิรูปความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในบทเทศน์บนภูเขา (มธ 5) พระองค์ทรงเปิดให้มนุษยชาติเห็นตรรกะของพระเจ้า ตรรกะแห่งความรักที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนความกลัว แต่ตั้งอยู่บนเสรีภาพและความเมตตา ตั้งอยู่บนตราประทับที่แข็งแรงและรักษาพระประสงค์ของพระเจ้า

"พระเยซูคือโมเสสใหม่ พระองค์ต้องการจะรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อน พระองค์ต้องการสัมผัสพวกเขาและฟื้นฟูพวกเขาให้กลับสู่สังคมโดยไม่โดนขัดขวางด้วยอคติ พระเยซูทรงสนองตอบทันทีที่คนโรคเรื้อนขอร้องให้พระองค์รักษา พระองค์ไม่มารีรอดูสถานการณ์ใดๆ สำหรับพระเยซู การออกไปช่วยเหลือคนที่อยู่ห่างไกล ออกไปช่วยรักษาบาดแผลของคนป่วย ออกไปฟื้นฟูทุกคนให้กลับสู่ครอบครัวของพระเจ้า ทั้งหมดนี้อยู่เหนือทุกสิ่ง แต่มันก็ทำให้บางคนรู้สึกเสื่อมเสียด้วยเช่นกัน พระเยซูไม่กลัวความอัปยศพวกนี้ ... พระองค์ต้องการที่จะฟื้นฟูคนที่สังคมไม่ยอมรับ พระองค์ต้องการที่จะช่วยเหลือคนที่อยู่ชายขอบทุกคน

"นี่คือแนวคิด 2 อย่างของการคิดแบบมีความเชื่อและการมีความเชื่อ ได้แก่ พวกเรากลัวที่จะเสียความช่วยเหลือไปและพวกเราต้องการที่จะช่วยคนที่สูญเสีย ... การคิดแบบมีความเชื่อ คิดแบบธรรมาจารย์ตามธรรมบัญญัติ มันคือการภัยอันตรายออกไปด้วยการละทิ้งคนติดโรคร้าย ส่วนการมีความเชื่อคือการคิดถึงพระเจ้า ผู้ทรงสวมกอดด้วยความเมตตาและฟื้นฟูคนๆ หนึ่งจากความชั่วร้ายให้เป็นความดี

"แนวคิด 2 อย่างนี้ถูกนำเสนอมาตลอดในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร นั่นคือ การขับไสไล่ส่ง และ การฟื้นฟูให้กลับมาสำคัญอีกครั้ง นักบุญเปาโลติดตามพระบัญชาของพระเจ้าด้วยการนำพระวรสารไปประกาศจนสิ้นพิภพ แต่ยังเกิดเรื่องเสื่อมเสียและเจอการต่อต้านอย่างรุนแรง รวมถึงการเป็นศัตรูกันด้วย เฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เรียกร้องให้เชื่อฟังธรรมบัญญัติโมเสสอย่างไม่แปรเปลี่ยน แม้แต่ในตอนที่ทำให้คนต่างศาสนากลับใจก็ตาม ส่วนนักบุญเปโตร ก็ถูกตำหนิอย่างหนักจากกลุ่มคริสตชน เมื่อตอนที่ท่านเข้าไปในบ้านของคนต่างศาสนาอย่างคอร์เนลิอุส

"วิถีของพระศาสนจักรเป็นวิถีของพระเยซู วิถีของความเมตตาและการฟื้นฟูสิทธิของคน นี่ไม่ได้หมายความว่า เราประเมินอันตรายต่ำเกินไปด้วยการให้หมาป่าเข้ามาในคอกแกะ แต่มันคือการต้อนรับลูกล้างผลาญที่กลับใจ รักษาบาดแผลจากบาปด้วยความกล้าหาญและความตั้งใจแรงกล้า จงถลกแขนเสื้อขึ้นและอย่ายืนดูความทุกข์ของโลกเฉยๆ วิถีของพระศาสนจักรไม่ใช่การประณามทุกคนไปตลอด แต่เป็นการชโลมน้ำหอมแห่งความเมตตาของพระเจ้าลงบนผู้ที่วอนขอด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์

"พูดง่ายๆ ความเมตตาไม่สามารถทำตัวเป็นกลางได้ ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สามารถเฉยชา หรือไม่สามารถวางตัวนิ่งเฉย ความเมตตาคือการติดเชื้อโรค มันกระตุ้นเราให้รู้สึกไม่ดี มันทำให้เสี่ยง และมันพัวพันกับเรา สำหรับความเมตตาที่แท้จริงนั้น มันจะเกินขีดจำกัดเสมอ มันไม่มีข้อแม้และต้องไม่หวังผลตอบแทน

"พระคาร์ดินัลที่รัก นี่คือ 'ตรรกะ' ความคิดของพระเยซูและนี่คือวิถีของพระศาสนจักร จงอย่าทำเพียงแค่ต้อนรับและการฟื้นฟูสิทธิของคนด้วยความกล้าในการประกาศพระวรสารให้กับคนที่มาเคาะประตูเราเท่านั้น แต่จงก้าวออกไปและตามหา จงกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และอย่ามีอคติกับคนที่อยู่ห่างไกล จงแบ่งปันอย่างเต็มที่ในสิ่งที่เราได้รับมาแบบฟรีๆ" พระสันตะปาปา ตรัสในช่วงท้าย

Comments