โป๊ปฟรังซิส: “โรคร้าย 15 ประการที่ทำร้ายพระศาสนจักร”
สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเตือน โรคร้าย 15 ประการ ที่ทำร้ายพระศาสนจักร อาทิ การนินทา, การประจบเจ้านายดุจพระเจ้า, การสนใจว่ากลุ่มก๊วนของตนสำคัญกว่าส่วนรวม, การชอบโชว์ออฟ, การมองว่าตนเองเป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ พร้อมกันนี้ ทรงชี้ คนส่วนมากวิจารณ์พระสงฆ์ แต่ส่วนน้อยสวดให้พระสงฆ์ ทรงย้ำ พระสงฆ์เป็นเหมือนเครื่องบิน เมื่อทำผิดพลาดจะกลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ทันที
![](//2.bp.blogspot.com/-evViHg0mm9E/VJhLTTDPhnI/AAAAAAAAWvQ/CCYAudYamPU/s1600/Dec%2B22%2C%2B2014%2B-%2BTraditional%2Bexchange%2Bof%2BChristmas%2Bgreetings_13.jpg)
ช่วงสายวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงต้อนรับบรรดาพระคาร์ดินัล พระสังฆราช และพระสงฆ์ ที่ปฏิบัติงานในโรมันคูเรีย ที่มาเข้าเฝ้า เพื่อถวายพระพรคริสต์มาสและปีใหม่แด่พระสันตะปาปา โดยนี่เป็นครั้งที่สองในสมณสมัยของพระสันตะปาปา ฟรังซิส ที่พระองค์ทรงกล่าวให้ข้อคิดคริสต์มาสแก่ทุกคนที่ทำงานในคูเรีย
สำหรับปีนี้ พระสันตะปาปาทรงให้ข้อคิดเตือนสติ ด้วยการเปรียบนิสัยแย่ๆ 15 ประการเข้ากับ “โรคร้าย” ที่ต้องได้รับการรักษา เพื่อให้ทุกคนในคูเรียได้นำไปคิดและปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งนี้ พระสันตะปาปาทรงระบุชัดเจนว่า “โรคร้าย” เหล่านี้ ไม่ได้เกิดกับคนในโรมันคูเรียเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคริสตชนทุกคน ทุกคณะนักบวช ทุกชุมชนวัด และทุกองค์กรคริสตชนทุกหน่วยงานด้วย
พระสันตะปาปาตรัสว่า “บางครั้ง คนที่ปฏิบัติงานในโรมันคูเรียจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นขุนนางที่มีอภิสิทธิ์ใหญ่โต คิดเองว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคน สิ่งนี้ทำให้หลงลืมจิตวิญญาณที่ควรมีชีวิตอยู่ในการรับใช้พระศาสนจักรสากล จิตวิญญาณนี้คือหนึ่งในความความสุภาพถ่อมตนและความโอบอ้อมอารี เฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองแห่งความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีใครที่จะมีชีวิตไปตลอดบนโลกใบนี้
“มีโรคร้าย 15 ชนิดที่อยู่ใต้ร่มเงาของบาป พ่อจึงอยากเชิญชวนทุกคนวอนขอการอภัยโทษจากพระเจ้า พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ทรงบังเกิดมาด้วยความยากจนในถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เมืองเบ็ธเลเฮม เพื่อสอนเราถึงฤทธานุภาพแห่งความสุภาพถ่อมตน พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ ทรงได้รับการต้อนรับจากคนยากไร้และคนที่เรียบง่าย พระองค์ไม่ได้รับการต้อนรับจากคนที่ถูกเลือก พ่อจึงอยากให้ทุกคนตรวจสอบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราแต่ละคน ทั้งนี้ เพื่อเตรียมตัวไปแก้บาปก่อนจะถึงวันพระคริสตสมภพ
“มันเป็นการดีที่จะคิดว่า โรมันคูเรียเป็นเหมือนแบบอย่างเล็กๆของพระศาสนจักรที่เป็นเหมือน ‘ร่างกาย’ ที่พยายามอย่างจริงจังที่จะทำตัวเองให้มีชีวิตชีวา มีสุขภาพที่แข็งแรง มีความสมัครสมานสามัคคี และเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเจ้าในทุกๆวัน โรมันคูเรียก็เหมือนพระศาสนจักร เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระคริสตเจ้า สมาชิกของโรมันคูเรียที่ไม่ดำเนินชีวิตเช่นนี้ ก็จะแทบจะกลายเป็นพวกขุนนาง พ่อจึงอยากใช้โอกาสนี้ พูดถึงรายชื่อโรคร้ายต่างๆ เพื่อจะช่วยให้เราเตรียมตัวไปแก้บาปอย่างดี
“คูเรียที่ไม่ฝึกวิจารณ์ตัวเอง ไม่ปรับตัว ไม่พยายามที่จะทำตัวให้ดีขึ้น หน่วยงานพวกนี้ก็เป็นร่างกายที่ไม่แข็งแรง การไปเยี่ยมสุสานสามารถช่วยเราให้เห็นรายชื่อของคนที่อาจจะคิดว่าตัวเองเป็นอมตะ เป็นคนที่ขาดไม่ได้ และเป็นคนสำคัญสุดๆ! นี่คือโรคร้ายของคนที่ทำตัวเป็นเจ้านายและรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น มากกว่าจะเป็นผู้รับใช้ทุกคน บ่อยครั้ง โรคนี้เกิดจากเชื้อพยาธิของอำนาจบาตรใหญ่และเกิดจากการหลงตัวเอง!”
2) โรคร้ายของการทำอะไรที่มันมากเกินจะรับได้
“นี่คือโรคของคนที่เป็นเหมือน มาร์ธา ในพระวรสาร คนที่มัวแต่วุ่นอยู่กับการงานและเมินเฉยสิ่งที่ดีกว่าการงานของตนเอง นั่นคือ การได้นั่งอยู่แทบเท้าของพระเยซู จำได้ไหมว่า พระเยซูยังขอร้องให้บรรดาสาวกรู้จักพักบ้าง เพราะการไม่ยอมหยุดพักจะนำความกระวนกระวายและความเครียดมาให้เรา”
“นี่คือโรคของคนที่สูญเสียความสงบในจิตใจของตน สูญเสียความมีชีวิตชีวา และสูญเสียความกล้าหาญ จนกลายเป็นเครื่องจักรที่ถูกตั้งคำสั่งไว้ แทนที่จะเป็นคนของพระเจ้า คนพวกนี้ไม่สามารถร้องไห้พร้อมกับคนที่เสียน้ำตา และไม่สามารถชื่นชมยินดีไปกับคนที่ชื่นชมยินดี”
“เมื่ออัครสาวกวางแผนการทุกอย่างแบบละเอียดยิบ และเชื่อมั่นในแผนการนี้ว่าทุกสิ่งจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นนักบัญชี การวางแผนงานที่ดีถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าพลาดพลั้งตกลงไปในการประจญล่อลวงของความต้องการที่จะกักขังหรือบังคับเสรีภาพของพระจิต มันเป็นการง่ายกว่าและสะดวกกว่าที่จะกลับไปใช้รูปแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง”
“นี่คือโรคร้ายของสมาชิกหลายคนที่หายไปจากหมู่คณะของตน และมันทำให้คูเรียต้องเสียการปฏิบัติหน้าที่อย่างสมัครสมานสามัคคีของตัวเอง จนกลายเป็นวงออเครสตร้สที่บรรเลงเพลงอย่างไม่พร้อมเพรียง เพราะสมาชิกของวงไม่ร่วมมือกัน ไม่ดำเนินชีวิตเป็นหมู่คณะ และไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นทีม”
“นี่คือการถดถอยของความก้าวหน้าทางศักยภาพด้านจิตใจซึ่งทำให้เกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คน มันทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพความคิดที่ไม่ขึ้นกับใคร บ่อยครั้ง มันคือจินตนาการ พวกเราสามารถพบเห็นอาการแบบนี้ในคนที่สูญเสียความทรงจำของตัวเองจากการได้ประสบพบเจอพระเจ้า”
“เมื่อภาพลักษณ์ภายนอก สีของอาภรณ์(ที่เราสวมใส่) และเกียรติยศกลายเป็นเป้าหมายแรกของชีวิต มันก็เป็นโรคร้ายที่นำเราให้กลายเป็นคนจอมปลอม ดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อจอมปลอมและความสงบในจิตใจแบบปลอมๆ”
“นี่คือโรคร้ายของคนที่ดำเนินชีวิต 2 หน้า มันเป็นผลจากการเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับคนธรรมดาและจิตใจว่างเปล่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นปริญญาหรือตำแหน่งทางวิชาการก็ไม่สามารถเติมลงไปได้ บ่อยครั้ง มันโจมตีเรา บางคนละทิ้งการอภิบาลรับใช้และไปกำหนดงานที่ตนต้องทำให้เป็นระบบที่มีพิธีรีตองมากเกินไป มันทำให้สูญเสียการสัมผัสกับความจริงและคนที่แท้จริง ดังนั้น พวกเขาจึงสร้างโลกคู่ขนานของตนขึ้นมา โลกที่พวกเขาตั้งท่ากันไว้หมดว่า คนอื่นสอนแบบแข็งกระด้าง ดำเนินชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ และบ่อยครั้งใช้ชีวิตแบบไร้สาระ”
“นี่คือโรคที่ทำให้คนๆ หนึ่ง กลายเป็นผู้หว่านความขัดแย้งเหมือนกับซาตาน หลายครั้ง คนๆนั้นก็กลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นซึ่งฆ่าชื่อเสียงของเพื่อนร่วมงานและพี่น้องของตน มันเป็นโรคร้ายของคนขี้ขลาด คนที่ไม่มีความกล้าที่จะไปพูดแบบซึ่งๆ หน้าและเอาแต่พูดลับหลังคนอื่น ดังนั้น จงเฝ้าระวังการก่อการร้ายในรูปแบบของการนินทา!”
“มันเป็นโรคร้ายของคนที่ประจบเจ้านายตัวเอง จนกลายเป็นเหยื่อของการแสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพและเป็นนักฉวยโอกาส และดำเนินชีวิตในหน้าที่การงานด้วยการคิดแต่ว่าตัวเองจะต้องได้อะไรเพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดจะให้คนอื่นเลย”
“เมื่อเราแต่ละคนคิดถึงแต่ตัวเอง เมื่อคนที่มีประสบการณ์เยอะๆในการทำงานไม่สอนงานให้กับคนที่มีประสบการณ์ทำงานน้อยกว่า จะเป็นเพราะการอิจฉาหรือจะฉลาดแกมโกงก็ตาม หรือเมื่อเราดีใจที่เห็นคนอื่นล้มเหลว มากกว่าจะช่วยผยุงเขาขึ้นมาและให้กำลังใจเขา เมื่อนั้น เราก็สูญเสียความจริงใจรวมถึงความอบอุ่นของความสัมพันธ์ตามประสามนุษย์ไปแล้ว
“นี่คือโรคร้ายของคนที่ทำหน้าบูดบึ้งและไม่เป็นมิตร คนพวกนี้คิดว่าการจะทำให้ดูขึงขัง พวกเขาต้องทำหน้าซึมเศร้าและหน้าเครียด และปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ด้วยความแข็งกร้าว ไม่ยืดหยุ่น เกรี้ยวกราด และหยิ่งยะโส เฉพาะอย่างยิ่งคนที่พวกเขาคิดว่าด้อยกว่าตน ในความเป็นจริงแล้ว ความเข้มงวดในทางทฤษฏีและการมองโลกแง่ร้ายเป็นอาการของความกลัวและความไม่มั่นใจตัวเอง ศิษย์พระเยซูต้องพยายามที่จะเป็นคนสุภาพ สุขุม กระตือรือร้น และชื่นชมยินดี พ่อขอให้เราทุกคนเป็นคนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันนะ”
“เมื่อบรรดาสาวกแสวงหาที่จะเติมสิ่งไร้ประโยชน์ลงในจิตใจ ด้วยการครอบครองวัตถุต่างๆ พวกเขาไม่ได้ครอบครองเพราะความจำเป็น แต่ครอบครองเพียงเพื่อให้รู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัย”
“เมื่อการเป็นสมาชิกกลุ่มก๊วนกลายเป็นว่ามีความสำคัญมากกว่าการเป็นสมาชิกของคูเรีย และในบางสถานการณ์ มันกลายเป็นว่าสำคัญมากกว่าการเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสตเจ้า แม้โรคนี้จะเริ่มจากความตั้งใจที่ดี แต่ในเวลาที่มันกลายเป็นทาสของกลุ่มต่างๆ มันก็กลายเป็นมะเร็งร้าย”
“เมื่อศิษย์พระเยซูเปลี่ยนการรับใช้ไปเป็นอำนาจ และอำนาจของเขากลายเป็นสินค้าที่แสวงหาผลกำไรทางโลก มันคือโรคร้ายของคนที่ไม่ยอมหยุดที่จะแสวงหาอำนาจ การที่จะได้มาซึ่งอำนาจนั้น พวกเขาอาจจะทำลายชื่อเสียงของคนอื่น พูดจาให้ร้าย และใส่ร้ายคนอื่นๆ โดยธรรมชาติแล้ว นี่คือการทำเพื่อโชว์ออฟและอวดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น โรคร้ายนี้ทำร้ายคูเรียอย่างเจ็บปวด”
ตอนท้าย พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า “ครั้งหนึ่ง พ่อเคยอ่านเจอว่า ‘พระสงฆ์เป็นเหมือนเครื่องบิน พวกเขาจะเป็นข่าวใหญ่พาดหัวเมื่อเขาทำผิดพลาดเท่านั้น คนส่วนมากวิจารณ์พระสงฆ์ แต่คนส่วนน้อยสวดให้พระสงฆ์’ นี่คือเรื่องจริงแบบสุดๆเลยนะ เพราะมันคือการเน้นย้ำถึงความสำคัญและความละเอียดอ่อนของการอภิบาล และบ่อยครั้งแค่ไหนที่พระสงฆ์คนหนึ่งทำผิดพลาด แล้วทำให้พระศาสนจักรทั้งมวลต้องบาดเจ็บ” พระสันตะปาปา ตรัสในตอนท้าย
ประมวลภาพ: การถวายพระพรคริสต์มาสและปีใหม่
Read More: Vatican Insider
![](http://2.bp.blogspot.com/-evViHg0mm9E/VJhLTTDPhnI/AAAAAAAAWvQ/CCYAudYamPU/s1600/Dec%2B22%2C%2B2014%2B-%2BTraditional%2Bexchange%2Bof%2BChristmas%2Bgreetings_13.jpg)
ช่วงสายวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงต้อนรับบรรดาพระคาร์ดินัล พระสังฆราช และพระสงฆ์ ที่ปฏิบัติงานในโรมันคูเรีย ที่มาเข้าเฝ้า เพื่อถวายพระพรคริสต์มาสและปีใหม่แด่พระสันตะปาปา โดยนี่เป็นครั้งที่สองในสมณสมัยของพระสันตะปาปา ฟรังซิส ที่พระองค์ทรงกล่าวให้ข้อคิดคริสต์มาสแก่ทุกคนที่ทำงานในคูเรีย
สำหรับปีนี้ พระสันตะปาปาทรงให้ข้อคิดเตือนสติ ด้วยการเปรียบนิสัยแย่ๆ 15 ประการเข้ากับ “โรคร้าย” ที่ต้องได้รับการรักษา เพื่อให้ทุกคนในคูเรียได้นำไปคิดและปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งนี้ พระสันตะปาปาทรงระบุชัดเจนว่า “โรคร้าย” เหล่านี้ ไม่ได้เกิดกับคนในโรมันคูเรียเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคริสตชนทุกคน ทุกคณะนักบวช ทุกชุมชนวัด และทุกองค์กรคริสตชนทุกหน่วยงานด้วย
พระสันตะปาปาตรัสว่า “บางครั้ง คนที่ปฏิบัติงานในโรมันคูเรียจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นขุนนางที่มีอภิสิทธิ์ใหญ่โต คิดเองว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคน สิ่งนี้ทำให้หลงลืมจิตวิญญาณที่ควรมีชีวิตอยู่ในการรับใช้พระศาสนจักรสากล จิตวิญญาณนี้คือหนึ่งในความความสุภาพถ่อมตนและความโอบอ้อมอารี เฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองแห่งความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีใครที่จะมีชีวิตไปตลอดบนโลกใบนี้
“มีโรคร้าย 15 ชนิดที่อยู่ใต้ร่มเงาของบาป พ่อจึงอยากเชิญชวนทุกคนวอนขอการอภัยโทษจากพระเจ้า พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ทรงบังเกิดมาด้วยความยากจนในถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เมืองเบ็ธเลเฮม เพื่อสอนเราถึงฤทธานุภาพแห่งความสุภาพถ่อมตน พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ ทรงได้รับการต้อนรับจากคนยากไร้และคนที่เรียบง่าย พระองค์ไม่ได้รับการต้อนรับจากคนที่ถูกเลือก พ่อจึงอยากให้ทุกคนตรวจสอบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราแต่ละคน ทั้งนี้ เพื่อเตรียมตัวไปแก้บาปก่อนจะถึงวันพระคริสตสมภพ
“มันเป็นการดีที่จะคิดว่า โรมันคูเรียเป็นเหมือนแบบอย่างเล็กๆของพระศาสนจักรที่เป็นเหมือน ‘ร่างกาย’ ที่พยายามอย่างจริงจังที่จะทำตัวเองให้มีชีวิตชีวา มีสุขภาพที่แข็งแรง มีความสมัครสมานสามัคคี และเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเจ้าในทุกๆวัน โรมันคูเรียก็เหมือนพระศาสนจักร เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระคริสตเจ้า สมาชิกของโรมันคูเรียที่ไม่ดำเนินชีวิตเช่นนี้ ก็จะแทบจะกลายเป็นพวกขุนนาง พ่อจึงอยากใช้โอกาสนี้ พูดถึงรายชื่อโรคร้ายต่างๆ เพื่อจะช่วยให้เราเตรียมตัวไปแก้บาปอย่างดี
1) โรคร้ายของความรู้สึก ‘เป็นอมตะ’ หรือ ‘เป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้’
“คูเรียที่ไม่ฝึกวิจารณ์ตัวเอง ไม่ปรับตัว ไม่พยายามที่จะทำตัวให้ดีขึ้น หน่วยงานพวกนี้ก็เป็นร่างกายที่ไม่แข็งแรง การไปเยี่ยมสุสานสามารถช่วยเราให้เห็นรายชื่อของคนที่อาจจะคิดว่าตัวเองเป็นอมตะ เป็นคนที่ขาดไม่ได้ และเป็นคนสำคัญสุดๆ! นี่คือโรคร้ายของคนที่ทำตัวเป็นเจ้านายและรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น มากกว่าจะเป็นผู้รับใช้ทุกคน บ่อยครั้ง โรคนี้เกิดจากเชื้อพยาธิของอำนาจบาตรใหญ่และเกิดจากการหลงตัวเอง!”
2) โรคร้ายของการทำอะไรที่มันมากเกินจะรับได้
“นี่คือโรคของคนที่เป็นเหมือน มาร์ธา ในพระวรสาร คนที่มัวแต่วุ่นอยู่กับการงานและเมินเฉยสิ่งที่ดีกว่าการงานของตนเอง นั่นคือ การได้นั่งอยู่แทบเท้าของพระเยซู จำได้ไหมว่า พระเยซูยังขอร้องให้บรรดาสาวกรู้จักพักบ้าง เพราะการไม่ยอมหยุดพักจะนำความกระวนกระวายและความเครียดมาให้เรา”
3) โรคร้ายของจิตใจและจิตวิญญาณที่แปรสภาพเป็นหิน
“นี่คือโรคของคนที่สูญเสียความสงบในจิตใจของตน สูญเสียความมีชีวิตชีวา และสูญเสียความกล้าหาญ จนกลายเป็นเครื่องจักรที่ถูกตั้งคำสั่งไว้ แทนที่จะเป็นคนของพระเจ้า คนพวกนี้ไม่สามารถร้องไห้พร้อมกับคนที่เสียน้ำตา และไม่สามารถชื่นชมยินดีไปกับคนที่ชื่นชมยินดี”
4) โรคร้ายของการวางแผนมากเกินไป
“เมื่ออัครสาวกวางแผนการทุกอย่างแบบละเอียดยิบ และเชื่อมั่นในแผนการนี้ว่าทุกสิ่งจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นนักบัญชี การวางแผนงานที่ดีถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าพลาดพลั้งตกลงไปในการประจญล่อลวงของความต้องการที่จะกักขังหรือบังคับเสรีภาพของพระจิต มันเป็นการง่ายกว่าและสะดวกกว่าที่จะกลับไปใช้รูปแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง”
5) โรคร้ายของการประสานงานที่ไม่ดี
“นี่คือโรคร้ายของสมาชิกหลายคนที่หายไปจากหมู่คณะของตน และมันทำให้คูเรียต้องเสียการปฏิบัติหน้าที่อย่างสมัครสมานสามัคคีของตัวเอง จนกลายเป็นวงออเครสตร้สที่บรรเลงเพลงอย่างไม่พร้อมเพรียง เพราะสมาชิกของวงไม่ร่วมมือกัน ไม่ดำเนินชีวิตเป็นหมู่คณะ และไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นทีม”
6) โรคร้ายของจิตวิญญาณอัลไซเมอร์
“นี่คือการถดถอยของความก้าวหน้าทางศักยภาพด้านจิตใจซึ่งทำให้เกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คน มันทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพความคิดที่ไม่ขึ้นกับใคร บ่อยครั้ง มันคือจินตนาการ พวกเราสามารถพบเห็นอาการแบบนี้ในคนที่สูญเสียความทรงจำของตัวเองจากการได้ประสบพบเจอพระเจ้า”
7) โรคร้ายของการเป็นศัตรูกันและการทะนงตน
“เมื่อภาพลักษณ์ภายนอก สีของอาภรณ์(ที่เราสวมใส่) และเกียรติยศกลายเป็นเป้าหมายแรกของชีวิต มันก็เป็นโรคร้ายที่นำเราให้กลายเป็นคนจอมปลอม ดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อจอมปลอมและความสงบในจิตใจแบบปลอมๆ”
8) โรคร้ายของจิตเภทที่ไม่มีแก่นสารในตัวเอง
“นี่คือโรคร้ายของคนที่ดำเนินชีวิต 2 หน้า มันเป็นผลจากการเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับคนธรรมดาและจิตใจว่างเปล่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นปริญญาหรือตำแหน่งทางวิชาการก็ไม่สามารถเติมลงไปได้ บ่อยครั้ง มันโจมตีเรา บางคนละทิ้งการอภิบาลรับใช้และไปกำหนดงานที่ตนต้องทำให้เป็นระบบที่มีพิธีรีตองมากเกินไป มันทำให้สูญเสียการสัมผัสกับความจริงและคนที่แท้จริง ดังนั้น พวกเขาจึงสร้างโลกคู่ขนานของตนขึ้นมา โลกที่พวกเขาตั้งท่ากันไว้หมดว่า คนอื่นสอนแบบแข็งกระด้าง ดำเนินชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ และบ่อยครั้งใช้ชีวิตแบบไร้สาระ”
9) โรคร้ายของการนินทาและพูดเพ้อเจ้อ
“นี่คือโรคที่ทำให้คนๆ หนึ่ง กลายเป็นผู้หว่านความขัดแย้งเหมือนกับซาตาน หลายครั้ง คนๆนั้นก็กลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นซึ่งฆ่าชื่อเสียงของเพื่อนร่วมงานและพี่น้องของตน มันเป็นโรคร้ายของคนขี้ขลาด คนที่ไม่มีความกล้าที่จะไปพูดแบบซึ่งๆ หน้าและเอาแต่พูดลับหลังคนอื่น ดังนั้น จงเฝ้าระวังการก่อการร้ายในรูปแบบของการนินทา!”
10) โรคร้ายของการบูชาหัวหน้าประดุจเทวดา
“มันเป็นโรคร้ายของคนที่ประจบเจ้านายตัวเอง จนกลายเป็นเหยื่อของการแสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพและเป็นนักฉวยโอกาส และดำเนินชีวิตในหน้าที่การงานด้วยการคิดแต่ว่าตัวเองจะต้องได้อะไรเพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดจะให้คนอื่นเลย”
11) โรคร้ายของการไม่สนใจผู้อื่น
“เมื่อเราแต่ละคนคิดถึงแต่ตัวเอง เมื่อคนที่มีประสบการณ์เยอะๆในการทำงานไม่สอนงานให้กับคนที่มีประสบการณ์ทำงานน้อยกว่า จะเป็นเพราะการอิจฉาหรือจะฉลาดแกมโกงก็ตาม หรือเมื่อเราดีใจที่เห็นคนอื่นล้มเหลว มากกว่าจะช่วยผยุงเขาขึ้นมาและให้กำลังใจเขา เมื่อนั้น เราก็สูญเสียความจริงใจรวมถึงความอบอุ่นของความสัมพันธ์ตามประสามนุษย์ไปแล้ว
12) โรคร้ายของใบหน้าอมทุกข์เหมือนกับไปงานศพ
“นี่คือโรคร้ายของคนที่ทำหน้าบูดบึ้งและไม่เป็นมิตร คนพวกนี้คิดว่าการจะทำให้ดูขึงขัง พวกเขาต้องทำหน้าซึมเศร้าและหน้าเครียด และปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ด้วยความแข็งกร้าว ไม่ยืดหยุ่น เกรี้ยวกราด และหยิ่งยะโส เฉพาะอย่างยิ่งคนที่พวกเขาคิดว่าด้อยกว่าตน ในความเป็นจริงแล้ว ความเข้มงวดในทางทฤษฏีและการมองโลกแง่ร้ายเป็นอาการของความกลัวและความไม่มั่นใจตัวเอง ศิษย์พระเยซูต้องพยายามที่จะเป็นคนสุภาพ สุขุม กระตือรือร้น และชื่นชมยินดี พ่อขอให้เราทุกคนเป็นคนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันนะ”
13) โรคร้ายของการครอบครอง
“เมื่อบรรดาสาวกแสวงหาที่จะเติมสิ่งไร้ประโยชน์ลงในจิตใจ ด้วยการครอบครองวัตถุต่างๆ พวกเขาไม่ได้ครอบครองเพราะความจำเป็น แต่ครอบครองเพียงเพื่อให้รู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัย”
14) โรคร้ายของปิดตัวอยู่แต่ในกลุ่มของตน
“เมื่อการเป็นสมาชิกกลุ่มก๊วนกลายเป็นว่ามีความสำคัญมากกว่าการเป็นสมาชิกของคูเรีย และในบางสถานการณ์ มันกลายเป็นว่าสำคัญมากกว่าการเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสตเจ้า แม้โรคนี้จะเริ่มจากความตั้งใจที่ดี แต่ในเวลาที่มันกลายเป็นทาสของกลุ่มต่างๆ มันก็กลายเป็นมะเร็งร้าย”
15) โรคร้ายของจิตตารมย์ทางโลกที่มุ่งผลกำไรและชอบโชว์ออฟ
“เมื่อศิษย์พระเยซูเปลี่ยนการรับใช้ไปเป็นอำนาจ และอำนาจของเขากลายเป็นสินค้าที่แสวงหาผลกำไรทางโลก มันคือโรคร้ายของคนที่ไม่ยอมหยุดที่จะแสวงหาอำนาจ การที่จะได้มาซึ่งอำนาจนั้น พวกเขาอาจจะทำลายชื่อเสียงของคนอื่น พูดจาให้ร้าย และใส่ร้ายคนอื่นๆ โดยธรรมชาติแล้ว นี่คือการทำเพื่อโชว์ออฟและอวดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น โรคร้ายนี้ทำร้ายคูเรียอย่างเจ็บปวด”
ตอนท้าย พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า “ครั้งหนึ่ง พ่อเคยอ่านเจอว่า ‘พระสงฆ์เป็นเหมือนเครื่องบิน พวกเขาจะเป็นข่าวใหญ่พาดหัวเมื่อเขาทำผิดพลาดเท่านั้น คนส่วนมากวิจารณ์พระสงฆ์ แต่คนส่วนน้อยสวดให้พระสงฆ์’ นี่คือเรื่องจริงแบบสุดๆเลยนะ เพราะมันคือการเน้นย้ำถึงความสำคัญและความละเอียดอ่อนของการอภิบาล และบ่อยครั้งแค่ไหนที่พระสงฆ์คนหนึ่งทำผิดพลาด แล้วทำให้พระศาสนจักรทั้งมวลต้องบาดเจ็บ” พระสันตะปาปา ตรัสในตอนท้าย
ประมวลภาพ: การถวายพระพรคริสต์มาสและปีใหม่
Read More: Vatican Insider
Comments
Post a Comment