Column: "การสร้างโลก" ตกลงพระสันตะปาปาตรัสอะไรกันแน่??
ช่วงนี้ ข่าวเรื่องสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ตรัสถึง "ทฤษฏีบิ๊กแบง" กลายเป็นประเด็นฮือฮาพอสมควร มีสำนักข่าวที่ไม่ใช่คาทอลิก หยิบพระดำรัสของพระสันตะปาปาไป "เล่นข่าว" กันอย่างสนุกสนาน
พระดำรัสนี้ พระสันตะปาปาตรัสในวันที่ไปเปิดรูปปั้นของสมเด็จพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ ที่ 16 ซึ่งวาติกันรายงานเฉพาะแต่พระดำรัสที่พระสันตะปาปา ฟรังซิส ตรัสสดุดีพระสันตะปาปากิตติคุณ ไม่ได้รายงานพระดำรัสที่ตรัสถึงเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่ว่า บรรดาสำนักข่าวคาทอลิกอื่นๆ อาทิ คาทอลิก นิวส์ เอเจนซี่, คาทอลิก นิวส์ เซอร์วิส และ วาติกัน อินไซเดอร์ ต่างรายงานพระดำรัสนี้
และแน่นอน สำนักข่าวอื่นๆ (ทางโลก) ก็ร่วมนำเสนอเช่นกัน ... เพียงแต่นำเสนอ "แค่บางประโยค" และมันก็ทำให้ความหมายอาจจะผิดเพี้ยน เหมือนตอนที่รายงานพระดำรัสของพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เมื่อครั้งพระองค์ตรัสถึงศาสนาอิสลามนั่นเอง
เรามาดูพระดำรัสแบบเต็มๆ ที่พระสันตะปาปา ฟรังซิส ตรัสกันเลยนะครับ เพื่อจะได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว พระสันตะปาปาพูดอย่างไรกันแน่ (ผมถอดความด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่นักแปลมืออาชีพ ภาษาไม่สลวยสวยเก๋นะครับ แต่จะพยายามให้ความหมายไม่เพี้ยน ... ส่วนที่ถามกันว่า "ทำไม POPE REPORT ถึงไม่รายงานเรื่องนี้" คำตอบคือ "ผมรายงานแน่ครับ แต่ช่วงนี้ งานออฟฟิศยุ่งมาก อีกอย่าง พระดำรัสนี้ อ่อนไหวมากๆ ผมจึงต้องขอเวลาอ่านอย่างละเอียด เพื่อสรุปประเด็นได้ถูก")
......................................
พระสันตะปาปา ตรัสว่า "When we read in Genesis the account of Creation, we risk imagining God as a magician, with a wand able to make everything. But it is not so"
"เมื่อเราอ่านหนังสือปฐมกาล เรื่องการสร้างโลก เราเสี่ยงที่จะจินตนาการว่าพระเจ้าเป็นเหมือนนักมายากล ที่มีไม้กายสิทธิ์จะเสกทุกสิ่งได้ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น"
"He created beings and allowed them to develop according to the internal laws that he gave to each one, so that they were able to develop and to arrive and their fullness of being. He gave autonomy to the beings of the universe at the same time at which he assured them of his continuous presence, giving being to every reality. And so creation continued for centuries and centuries, millennia and millennia, until it became which we know today, precisely because God is not a demiurge or a magician, but the creator who gives being to all things."
"พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและให้สิ่งต่างๆได้พัฒนาตามหลักของมันซึ่งพระองค์ทรงมอบให้ไว้ในแต่ละสิ่งสร้าง เพื่อที่สรรพสิ่งจะได้พัฒนาและไปถึงความครบครันของตนเอง พระเจ้าทรงให้อิสระกับสิ่งสร้างของจักรวาล ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงให้ความมั่นใจกับสรรพสิ่งเกี่ยวกับการประทับอยู่ของพระองค์ พระองค์ทรงอยู่กับทุกสิ่ง ดังนั้น สิ่งสร้างยังคงดำเนินต่อเนื่องไปหลายร้อยหลายพันปี จนกระทั่งมันกลายมาเป็นสิ่งที่เรารู้จักในทุกวันนี้ เห็นได้ชัดว่า พระเจ้าไม่ใช่คนงานหรือนักมายากล แต่เป็นผู้สร้างที่ให้การมีชีวิตแก่ทุกสิ่ง"
"The beginning of the world is not the work of chaos that owes its origin to another, but derives directly from a Supreme Principle who creates out of love."
"จุดเริ่มต้นของโลกไม่ใช่งานแห่งความยุ่งเหยิง สับสนอลหม่านที่เป็นผลจากต้นกำเนิดอื่น แต่(จุดเริ่มต้นของโลก)ได้รับมาโดยตรงจากพระผู้สร้างสูงสุด ผู้สร้างทุกสิ่งด้วยความรัก"
"The Big Bang, which nowadays is posited as the origin of the world, does not contradict the divine act of creating, but rather requires it. The evolution of nature does not contrast with the notion of creation, as evolution presupposes the creation of beings that evolve."
"ทฤษฏีบิ๊กแบงที่ทุกวันนี้ถูกจัดให้เป็นต้นกำเนิดของโลก ไม่ได้ขัดกับการกระทำของพระเจ้าในการสร้างโลก แต่เรียกร้องการสร้างโลกของพระเจ้าด้วยซ้ำ วิวัฒนาการของธรรมชาติไม่ได้ขัดกับความยอดเยี่ยมของการสร้างโลก เนื่องจากวิวัฒนาการคือการสันนิษฐานว่าการสร้างสรรพสิ่งได้พัฒนาไปเรื่อยๆ"
"With regard to man, however, there is a change and something new. When, on the sixth day of the account in Genesis, man is created, God gives the human being another autonomy, an autonomy that is different from that of nature, which is freedom."
"อย่างไรก็ตาม มันมีการเปลี่ยนแปลงและบางสิ่งใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อถึงวันที่หกในปฐมกาล มนุษย์ถูกสร้างขึ้น พระเจ้าทรงให้อิสระในการปกครองตนเองแก่มนุษย์ อิสระที่แตกต่างจากธรรมชาติ ซึ่งก็คือเสรีภาพนั่นเอง"
... ส่วนประโยคต่อจากนี้ ไม่ใช่ประโยคปัญหา (แต่สื่อไม่รายงาน) พระดำรัสต่อจนจบ มีว่า ...
"When God tells man to name everything and to go ahead through history, this makes him responsible for creation, so that he might steward it in order to develop it until the end of time."
"Therefore the scientist, and above all the Christian scientist, must adopt the approach of posing questions regarding the future of humanity and of the earth, and, of being free and responsible, helping to prepare it and preserve it, to eliminate risks to the environment of both a natural and human nature. But, at the same time, the scientist must be motivated by the confidence that nature hides, in her evolutionary mechanisms, potentialities for intelligence and freedom to discover and realize, to achieve the development that is in the plan of the creator."
Pope Francis called human acts a "participation in God's power," adding that humanity is able to build a world suited to his dual corporal and spiritual life; to build a human world for all human beings and not for a group or a class of privileged persons.
"This hope and trust in God, the creator of nature, and in the capacity of the human spirit can offer the researcher a new energy and profound serenity," said the Roman Pontiff.
"But it is also true that the action of humanity – when freedom becomes autonomy – which is not freedom, but autonomy – destroys creation and man takes the place of the creator. And this is the grave sin against God the creator."
Source:
- Catholic News Agency
- Catholic News Service
Comments
Post a Comment