โป๊ปฟรังซิส: “คริสตชนขี้นินทาและใส่ร้ายคนอื่น เป็นคริสตชนตัวอย่างไม่ดี”

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงสอน คริสตชนที่นินทาและใส่ร้ายคนไปทั่ว เป็นคริสตชนตัวอย่างไม่ดี การทำแบบนี้ ทำให้หลายคนตัดใจไม่มาเป็นคริสตชนและเลือกไม่เชื่อพระเจ้า เพราะได้เห็นตัวอย่างแย่ๆ จากคริสตชนเหล่านี้นี่เอง ทรงย้ำ พระศาสนจักรไม่ใช่พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ แต่พระศาสนจักรคือเราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาป 



ช่วงสายวันพุธที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเป็นประธานในการเข้าเฝ้าทั่วไป ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมกว่า 60,000 คน โดยวันนี้ พระสันตะปาปาทรงเน้นว่า พระศาสนจักรคือความจริงที่มองเห็นได้ จับต้องได้ และทุกคนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเจ้า

พระสันตะปาปา ตรัสสอนว่า “เมื่อเราพูดถึงความเป็นจริงที่มองเห็นได้ของพระศาสนจักร เราพูดว่า มันมีอยู่ 2 อย่าง ได้แก่ สิ่งที่มองเห็นได้จริงๆ (กลุ่มคริสตชน, ชุมชนวัด และสังฆมณฑล) และอีกสิ่งก็คือชีวิตจิตหนึ่งเดียว เราต้องไม่คิดถึงแต่พระสันตะปาปา, พระสังฆราช, พระสงฆ์ และนักบวชชายหญิง ความเป็นจริงที่มองเห็นได้ของพระศาสนจักรเกิดจากผู้ได้รับศีลล้างบาปทุกคนจากทั่วโลก ซึ่งทั้งหมดมีความเชื่อ ความหวัง และความรัก

“บ่อยครั้ง เราได้ยินคนชอบพูดกันว่า ‘พระศาสนจักรไม่ทำสิ่งนั้น, พระศาสนจักรไม่ทำสิ่งนี้ หรือ ไหนบอกมาซิ ใครคือพระศาสนจักร’ เอาล่ะ พระศาสนจักรคือพระสันตะปาปา, พระสังฆราช และพระสงฆ์อย่างนั้นเหรอ ไม่เลย! พวกเราทุกคนคือพระศาสนจักร พวกเราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปคือพระศาสนจักร พระศาสนจักรของพระเยซู

“การจะเข้าใจความสัมพันธ์ของความจริงที่มองเห็นได้และความจริงฝ่ายชีวิตจิต มันไม่มีวิธีใดเลย(ที่จะทำได้) ยกเว้นแต่จะมองไปที่พระคริสตเจ้า ผู้ซึ่งพระวรกายของพระองค์คือพระศาสนจักร และจากจุดนี้เองพระศาสนจักรได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยการกระทำของความรักอันหาขอบเขตมิได้

“เราต้องถามตัวเองว่า ความจริงที่มองเห็นได้ของพระศาสนจักรจะรับใช้จิตใจได้อย่างไร แน่นอน เราต้องมองไปที่พระคริสตเจ้า พระองค์คือแบบอย่างของคริสตชนทุกคน พวกเราทุกคนต้องมองไปที่พระคริสตเจ้า พวกท่านจะมองไปทางอื่นไม่ได้เลย! ... จงมองไปที่พระคริสตเจ้าและดูว่า พระองค์ทรงใช้ความสุภาพถ่อมตนของพระองค์อย่างไร ... อาศัยความจริงที่มองเห็นได้ ทั้งศีลศักดิ์สิทธิ์และการเป็นประจักษ์พยาน พวกเราคริสตชนทุกคนถูกเรียกมาเพื่อใกล้ชิดกับผู้อื่น โดยเริ่มต้นด้วยการใกล้ชิดกับผู้ยากไร้ ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก และผู้ที่กลายเป็นส่วนเกินของสังคม ทั้งนี้ เพื่อเดินหน้าช่วยเหลือพวกเขาให้รู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันและการได้รับการชำเลืองมองด้วยความเมตตาจากพระเยซู

“พี่น้องที่รัก บ่อยครั้ง พระศาสนจักรของเราต้องประสบกับความอ่อนแอและข้อจำกัดของตัวเอง พวกเราทุกคนต่างมีความอ่อนแอและข้อจำกัดกันหมด พวกเราเป็นคนบาป ไม่มีใครพูดว่า ฉันไม่ใช่คนบาป ความอ่อนแอและข้อจำกัด รวมถึงบาปของเรานั้น มันอาจกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจในตัวเรา เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีและเมื่อเราตระหนักว่า เราเป็นต้นเหตุของเรื่องอัปยศ กี่ครั้งแล้วที่เราได้ยินคำพูดว่า ‘คนนี้อยู่ในพระศาสนจักร แต่ยังนินทาเรื่องชาวบ้านและใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว’ นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี นี่ไม่ใช่คริสตชน! นี่เป็นตัวอย่างที่เลว ดังนั้น คนจะพูดว่า ‘ถ้าคริสตชนเป็นแบบนี้ ฉันเลือกจะไม่มีศาสนาดีกว่า’ พวกเขาจากไปเพราะการทำตัวของเราเอง

“ดังนั้น ขอให้เราวอนขอพระพรแห่งความเชื่อ เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงทำให้เราเป็นเครื่องมือแห่งพระหรรษทานและเครื่องหมายที่มองเห็นได้แห่งความรักของพระองค์เพื่อมนุษยชาติ ใช่ เราสามารถจะเป็นบ่อเกิดของเรื่องอัปยศได้ แต่เราก็สามารถกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังโดยผ่านทางชีวิตของเรา การเป็นประจักษ์พยานของเราได้เช่นกัน” พระสันตะปาปา ตรัสในตอนท้าย

นอกจากนี้ หลังการเข้าเฝ้าจบลง พระสันตะปาปาเชิญทุกคนภาวนาให้ผู้เสียชีวิตจากโรคอีโบล่าด้วย พร้อมหวังว่า นานาชาติจะร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ให้หมดไป

ประมวลภาพ: การเข้าเฝ้าทั่วไป

Read More: Vatican Radio



Comments