โป๊ปฟรังซิส: "จงเป็นเหมือนนกอินทรีที่ไม่ลืมรัง เลือกบินให้สูงและมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงให้กำลังใจชาวอัลเบเนียน จงเป็นเหมือนนกอินทรีในธงชาติของตน นกอินทรีไม่เคยลืมรังของตัวเอง และเลือกจะบินสูงพร้อมมองไปข้างหน้า คริสตชนอัลเบเนียนก็ต้องอย่าลืมอดีตที่เคยถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความเชื่อในพระเจ้า นอกจากนี้ จงมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวังและมองหาอนาคตอันสดใสด้วย 



ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาระหว่างการเสด็จเยือนอัลเบเนีย ณ จัตุรัสคุณแม่เทเรซา กรุงติราน่า ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมจำนวนมาก ในส่วนของบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงชาวอัลเบเนียนจำนวนมากที่สละชีวิตเพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงพระคริสตเจ้าในช่วงที่คอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศ พร้อมกันนี้ ทรงขอร้องชาวอัลเบเนียน อย่าลืมบาดแผลอันโหดร้ายในอดีต แต่ก็ขอให้ร่วมใจกันบินให้สูงขึ้น เพื่อมุ่งหน้าสู่อนาคตอันสดใส

พระสันตะปาปา ทรงเทศน์สอนว่า "พระวรสารวันนี้ พระเยซูทรงส่งศิษย์ 72 คนออกไปตามหมู่บ้านต่างๆเพื่อประกาศพระอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูทรงมาในโลกนี้เพื่อนำความรักของพระเจ้ามาให้โลกและพระองค์ทรงต้องการจะแบ่งปันความรักนั้น ด้วยวิธีการของความเป็นหนึ่งเดียวกันและเป็นพี่น้องกัน พระเยซูทรงฝึกบรรดาศิษย์กลุ่มนี้ให้รู้ถึงวิธีการ 'ออกไป' ทำพันธกิจ วิธีการนี้ชัดเจนและง่ายมากๆ กล่าวคือ ศิษย์เหล่านี้เข้าไปบ้านต่าง เทศน์สอน พร้อมทักทายด้วยคำว่า 'สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด!' นี่ไม่ใช่แค่การทักทายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นพระพร พระพรแห่งสันติด้วย

"การที่พ่อมาอยู่กับพวกท่านในวันนี้ ก็เพื่อร่วมระลึกถึงลูกสาวผู้ยิ่งใหญ่และสุภาพถ่อมตนของประเทศนี้ นั่นคือ บุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตต้า พ่อปรารถนาที่จะทักทายพวกท่านอีกครั้งว่า 'สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด!' ขอให้สันติอยู่ในใจท่าน ขอให้สันติอยู่ในประเทศของท่าน!

"ในอดีตที่ผ่านมา ประตูของประเทศนี้ได้ถูกปิดลง ถูกล็อกด้วยโซ่แห่งการห้ามปรามและเบียดเบียนด้วยระบบที่ปฏิเสธพระเจ้า รวมถึงเสรีภาพในการนับถือศาสนา พวกคนที่กลัวความจริงก็ทำทุกวิถีทางที่จะทำได้ เพื่อกำจัดพระเจ้าออกจากจิตใจของผู้คนและกีดกันพระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรออกจากประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ แม้ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศนี้เป็นหนึ่งในชาติแรกๆที่ได้รับความสว่างจากพระวรสารด้วยซ้ำ ดังที่เราได้ยินกันในบทอ่านที่สองซึ่งอ้างอิงถึงเมืองอิลลิเรีย เมืองนี้ ปัจจุบันอยู่ในอัลเบเนียนั่นเอง

"หลายทศวรรษแห่งการทนทุกข์ทรมานอันโหดร้ายและการถูกเบียดเบียนข่มเหงอย่างรุนแรงที่มีต่อชาวคาทอลิก, ออโธด็อกซ์ และมุสลิม พวกเราสามารถกล่าวได้ว่า อัลเบเนียคือดินแดนแห่งมรณสักขี เรากล่าวได้ว่า พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง และฆราวาสจำนวนมากได้ชดใช้ให้กับความซื่อสัตย์ในการดำเนินชีวิต พวกเขาได้พิสูจน์ด้วยความกล้าหาญและมั่นคงในการประกาศความเชื่อว่ามันไม่ได้ขาดหายไปเลย

"มีคริสตชนมากมายเท่าไหร่ที่ไม่ยอมจำนนเมื่อพวกเขาถูกข่มขู่ แต่พวกเขายังรักษาความเชื่อไว้โดยปราศจากการโลเลบนหนทางที่พวกเขาได้เลือกแล้ว! ... นกอินทรีซึ่งอยู่บนธงชาติของพวกท่าน คือการแสดงออกถึงความหวัง และนี่คือความจำเป็นเสมอที่เราต้อมอบความวางใจไว้กับพระเจ้า ผู้ไม่เคยทำให้เราหลงทางไปเลย เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลายากลำบาก จำไว้ว่า นกอินทรีไม่เคยลืมรังของมัน นกอินทรีเลือกที่จะบินให้สูง พวกท่านก็เช่นกัน อย่าลืมอดีตอันโหดร้าย เช่นเดียวกับ ต้องบินให้สูงและมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง

"วันนี้ ประตูของอัลเบเนีบได้ถูกเปิดออกอีกครั้งและฤดูกาลแห่งพันธกิจใหม่ก็กำลังเจริญเติบโตเพื่อประชากรของพระเจ้าทุกคน กล่าวคือ ผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปทุกคนมีบทบาทในการเติมเต็มพระศาสนจักรและสังคม ทุกคนต้องอุทิศตนอย่างมีเมตตาในการประกาศพระวรสารและเป็นประจักษ์พยานถึงความรักความเมตตา นั่นคื พวกท่านถูกเรียกมาเพื่อทำให้พันธะแห่งการสร้างความเป็นพี่น้องกันเข้มแข็งยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน

"จงอย่ากลัวที่จะตอบรับพระคริสตเจ้าผู้ทรงเชิญเราให้ติดตามพระองค์ ในกระแสเรียกการเป็นสงฆ์หรือนักบวช พวกท่านจะได้พบกับความมั่งคั่งและความชื่นชมยินดีที่ได้มอบตัวเองเพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ มีคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่กำลังรอคอยความสว่างของพระวรสารและพระหรรษทานแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์

"พ่อขอบคุณพวกท่านสำหรับการเป็นประจักษ์พยานอย่างซื่อสัตย์ถึงพระวรสาร ขอให้การเป็นประจักษ์พยานนี้ดำรงอยู่ในวันนี้และอนาคต เหมือนกับที่ท่านกำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งความรัก เสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติ" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย

หลังมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงนำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว โดยก่อนภาวนา พระสันตะปาปาทรงกล่าวทักทายเยาวชนอัลเบเนียทุกคนว่า "ขอให้ทุกคนปฏิเสธการบูชาเงินเป็นพระเจ้า ปฏิเสธเสรีภาพที่ผิดๆ อย่าหลงไปกับความรุนแรง แต่จงสร้างวัฒนธรรมแห่งการพบปะกันและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน"

Read More: Vatican Radio

Comments