ห้ามพลาด! บทสัมภาษณ์พระสันตะปาปาบนเครื่องบินจากโซลกลับโรม

ระหว่างเที่ยวบินกลับจากเกาหลีมุ่งหน้าสู่กรุงโรม อิตาลี สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับบรรดานักข่าวด้วยการประทานการสัมภาษณ์แบบเป็นกันเองนานกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เรียกว่า เป็นหนึ่งในการสัมภาษณ์พระสันตะปาปาที่นานสุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ประเด็นสำคัญๆ มีเพียบ อยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ไปติดตามแบบละเอียดๆกันเลย ...

ภาพ: Catholic News Service

เรือเซวอล: "เราไม่สามารถวางตัวเป็นกลางเกี่ยวกับความเจ็บปวดของคน"

นักข่าว: "ระหว่างการเยือนเกาหลี พระองค์ทรงยื่นมือเข้าไปสัมผัสครอบครัวของผู้ประสบเหตุเรือเซวอลและทรงปลอบโยนพวกเขา ผมมี 2 คำถามที่อยากถาม พระองค์รู้สึกอย่างไรเมื่อได้พบกับพวกเขา และทรงกังวลไหมว่าการที่พระองค์พบกับพวกเขาจะถูกตีความผิดๆไปในทางการเมือง"

พระสันตะปาปา: "เมื่อคุณพบตัวเองอยู่ต่อหน้าความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ คุณต้องทำอะไรสักอย่างที่หัวใจคุณเรียกร้องที่จะทำ แต่ต่อมา พวกคนบางกลุ่มอาจพูดว่า ก็เขาทำมันเพราะเขามีจุดประสงค์ทางการเมืองหรืออะไรก็ว่ากันไป พวกเขาสามารถพูดได้หมดแหละ แต่เมื่อคุณคิดถึงชายหญิง พ่อหรือแม่ที่ต้องสูญเสียลูกๆของตัวเอง พี่หรือน้องที่ต้องสูญเสียพี่น้องของตน บาดแผลร้ายแรงนี้เป็นมหันตภัยต่อหัวใจของพ่อก็ว่าได้ พ่อเป็นพระสงฆ์ พ่อรู้สึกว่าพ่อต้องเข้าไปใกล้ชิดกับพวกเขา พ่อรู้สึกแบบนี้ นี่คือสิ่งแรกที่พ่อคิด พ่อรู้ว่าการปลอบโยนที่พ่อทำ คำพูดที่พ่อพูด ไม่ใช่ยารักษาโรค พ่อไม่สามารถให้ชีวิตใหม่กับคนที่ตายได้ แต่ความใกล้ชิดในช่วงเวลาแบบนี้ จะทำให้เราเข้มแข็งและร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

"พ่อจำได้ดีตอนที่พ่อยังเป็นพระอัครสังฆราชแห่งบัวโนสไอเรส (อาร์เจนตินา) พ่อเจอเหตุการณ์ร้ายๆแบบนี้ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือไฟไหม้ไนต์คลับที่กำลังมีคอนเสิร์ต ทำให้คนตาย 194 คน เหตุการณ์นี้เกิดในค.ศ.1993 และเหตุการณ์ที่สองเกิดกับรถไฟ พ่อคิดว่ามีคนตายจากเหตุการณ์นี้ 120 คนนะ ในช่วงเวลาเหล่านั้น พ่อรู้สึกเหมือนกันคือพ่อต้องเข้าไปใกล้ชิดกับพวกเขา ความเจ็บปวดตามประสามนุษย์นั้นแรงมาก และถ้าเราอยู่ใกล้ๆพวกเขาในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า พวกเราจะช่วยเขาได้มากเลยแหละ

"พ่ออยากพูดอะไรต่อไปอีกนิด พ่อติด 'เข็มกลัดริบบิ้น' ซึ่งครอบครัวเหยื่อเรือเซวอลล่มได้ให้ และพ่อก็ติดมันทันที พ่อติดมันเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา แต่หลังจากนั้นตอนกลางวัน มีบางคนเดินมาหาพ่อแล้วบอกว่า 'มันจะดีกว่านี้นะครับ ถ้าพระองค์ถอดมันออก พระองค์ควรวางตัวเป็นกลางนะครับ' แต่ฟังก่อน เราไม่สามารถวางตัวเป็นกลางเกี่ยวกับความเจ็บปวดของคน พ่อติดเข็มกลัดแบบนี้ เพื่อแสดงออกว่าพ่อรู้สึกอย่างไร

"การหยุดผู้บุกรุกที่ไม่ชอบธรรมเป็นสิทธิที่พึงมี"

นักข่าว: "พระองค์ทรงทราบแล้วว่า ไม่นานมานี้ กองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มเปิดฉากโจมตีกลุ่มก่อการร้ายในอิรัก เพื่อยับยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, ปกป้องคนกลุ่มน้อยซึ่งรวมไปถึงบรรดาคาทอลิกที่อยู่ภายใต้การนำทางของพระองค์ คำถามของผมคือ พระองค์เห็นด้วยกับการโจมตีของอเมริกาหรือไม่"

พระสันตะปาปา: "ขอบคุณสำหรับคำถามที่ชัดเจนแบบนี้ ในกรณีเหล่านี้ซึ่งมีการบุกรุกอย่างไม่เป็นธรรม พ่อสามารถพูดได้อย่างเดียวว่า มันเป็นความชอบธรรมทางกฏหมายที่จะหยุดผู้บุกรุกที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้ พ่อเน้นเลยกิริยานี้เลยนะ หยุด! พ่อไม่ได้พูดว่าการทิ้งระเบิดหรือทำสงครามนะ แต่พ่อพูดว่าหยุดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาศัยวิธีใดก็ได้ที่จะสามารถหยุดการรุกรานเช่นนี้ การหยุดยั้งเช่นนี้ต้องถูกนำมาพิจารณา เพื่อจะหยุดผู้บุกรุกที่ไม่ชอบธรรมเหล่านี้จึงถือเป็นสิ่งที่ชอบธรรมตามกฏหมาย

"แต่เราต้องมีเครื่องเตือนใจด้วยนะ กี่ครั้งแล้วภายใต้ข้อแก้ตัวว่าจะต้องหยุดยั้งผู้รุกรานที่ไม่ชอบธรรม จึงต้องใช้อำนาจแทรกแซงในการจัดการควบคุมผู้คน และก่อให้เกิดสงครามจริงๆที่เข้าครอบครองดินแดนนั้น

"หลังจากสงครามโลก ครั้งที่ 2 องค์การสหประชาชาติได้มีแนวคิดว่าประเทศใดประเทศหนึ่งไม่สามารถชี้ขาดได้ว่าจะหยุดยั้งผู้บุรุกที่ไม่ชอบธรรมด้วยวิธีการใดๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ควรจะมาหารือกัน ส่วนผู้รุกรานที่ไม่ชอบธรรมล่ะ(ควรถูกหารือด้วยไหม)? มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ

"ส่วนคำถที่สอง (คนกลุ่มน้อยซึ่งหมายถึงบรรดาคาทอลิก) ขอบคุณที่ถามเรื่องนี้ เพราะคำว่าคนกลุ่มน้อยสำหรับพ่อ มันหมายถึงกลุ่มคริสตชน กลุ่มชาวคริสต์ผู้ยากไร้น่าสงสาร มันเป็นความจริง พวกเขาทนทุกข์ทรมาน มรณสักขี! นี่คือเหล่ามรณสักขี แต่ยังมีชายหญิงอีกมากที่เป็นคนกลุ่มน้อยเมื่อพิจารณาจากศาสนา คนกลุ่มนี้ไม่ใช่คริสตชนทั้งหมด แต่พวกเขามีความเท่าเทียมกันต่อหน้าพระเจ้า

"การที่จะหยุดยั้งผู้บุกรุกที่ไม่ชอบธรรมจึงถือเป็นสิทธิที่มนุษย์พึงมี แต่มันก็เป็นสิทธิอีกเช่นกันที่ผู้บุกรุกจะต้องหยุดการกระทำนี้ เพื่อที่เขาจะไม่ลงมือทำความชั่ว"

จะไปอิรักไหม: "พ่อเต็มใจจะไปที่นั่น"

นักข่าว: "กลับมาที่อิรักอีกครั้ง เหมือนกับที่ พระคาร์ดินัล (แฟร์นานโด) ฟิโลนี่ และคุณพ่อบรูโน่ กาโดเร อธิการเจ้าคณะโดมินิกันว่าไว้ พระองค์พร้อมที่จะสนับสนุนการใช้กองทัพเข้าแทรกแซงในอิรัก เพื่อจะได้หยุดนักรบญิฮาด (จีฮัด) หรือไม่? และอีกคำถามหนึ่ง พระองค์คิดไหมว่า จะไปเยือนอิรักสักวันหนึ่ง บางที ไปเยือนเคอร์ดิสถาน เพื่อให้กำลังใจผู้ลี้ภัยชาวคริสต์ซึ่งกำลังรอคอยพระองค์อยู่ และเพื่อภาวนาพร้อมกับพวกเขาในดินแดนที่พวกเขาอาศัยมานานกว่า 2,000 ปี"

พระสันตะปาปา: "ไม่นานมานี้ พ่อได้คุยกับ เมซุต บาร์ซานี่ ผู้ว่าการของเคอร์ดิสถาน เขามีความคิดชัดเจนมากๆเกี่ยวกับสถานการณ์และวิธีแก้ปัญหา แต่นั่นเป็นเรื่องก่อนการบุกรุกอย่างไม่ชอบธรรม พ่อจะตอบคำถามแรกของคุณก่อน พ่อแค่ยอมรับเงื่อนไขในความจริงที่ว่า เมื่อมีผู้รุกรานอย่างไม่ชอบธรรม เขาจะต้องถูกสกัดกั้น

"คำถามที่สอง พ่อเต็มใจ(จะไปอิรัก) แต่พ่อคิดว่า พ่อสามารถพูดเช่นนี้ก็เมื่อเราได้ยินจากเพื่อนร่วมงานของพ่อเกี่ยวกับการเข่นฆ่าคนกลุ่มน้อยในเชิงศาสนา ตอนนี้ ปัญหาในเคอร์ดิสถานก็คือพวกเขาไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากได้ มันคือปัญหาที่เราสามารถเข้าใจได้ แล้วทีนี้ เราจะทำอย่างไรดี? เราพิจารณาหลายอย่างเลยนะ สิ่งแรกเลย ทุกแถลงการณ์ที่คุณพ่อลอมบาร์ดี้แถลงนั้น ก็ออกในนามของพ่อ หลังจากนั้น แถลงการณ์ได้ถูกส่งไปยังสมณทูตทุกคนเพื่อจะได้สื่อสารต่อไปยังคณะรัฐบาลอีกต่อ จากนั้น พวกเราจึงเขียนจดหมายไปยังเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เราทำหลายอย่าง และในตอนท้าย เราได้ตัดสินใจส่งทูตส่วนพระองค์ นั่นคือ พระคาร์ดินัล ฟิโลนี่ และอย่างที่พ่อพูดไป ถ้ามันจำเป็นในตอนนี้ที่เรากลับจากเกาหลี เราก็จะไปที่นั่น(อิรัก) มันเป็นหนึ่งในหลายความเป็นไปได้ นี่คือคำตอบของพ่อ พ่อเต็มใจที่จะไปที่นั่น ในตอนนี้ มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำ แต่พ่อก็พร้อมจะทำนะ


ภาพ: Catholic News Agency
ภาพ: L'Osservatore Romano


ประเทศจีน: "ชัวร์! ให้ไปจีนพรุ่งนี้ ยังได้เลย" 

นักข่าว: "คำถามของผมเกี่ยวกับประเทศจีน พระองค์คือพระสันตะปาปาองค์แรกที่ได้นั่งเครื่องบินผ่านน่านฟ้าประเทศจีน และตอนนี้ เราก็กำลังบินอยู่เหนือประเทศจีน โทรเลขที่พระองค์ส่ง(ถึงประธานาธิบดีจีน) ไม่มีเสียงตอบรับในเชิงลบเลย พระองค์คิดว่านี่คือก้าวย่างที่จะนำไปสู่การเสวนาหรือไม่ และพระองค์ปรารถนาจะไปเมืองจีนบ้างไหม (ระหว่างนี้ คุณพ่อลอมบาร์ดี้ ได้หยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูเว่า เรากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าประเทศจีน)

พระสันตะปาปา: "เมื่อตอนขามา ตอนที่เรากำลังจะบินเข้าน่านฟ้าเมืองจีน พ่ออยู่ในห้องขับเครื่องบินกับบรรดานักบิน และหนึ่งในนักบินก็โชว์จอเรดาร์ให้พ่อดู และพูดว่า 'เรากำลังจะเข้าสู่น่านฟ้าเมืองจีนในอีก 10 นาทีนะครับ เราต้องขออนุญาต(เพื่อเข้าน่านฟ้าแล้ว)' ทุกครั้งเราต้องทำแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติ ทุกคนต้องขออนุญาตจากแต่ละประเทศ และพ่อก็ได้ยินว่าพวกเขาขออนุญาตอย่างไร รวมถึงได้ยินว่าทางการจีนตอบกลับมาอย่างไร พ่อได้เห็นเรื่องนี้กับตา จากนั้น นักบินได้บอกพ่อว่า เขาส่งโทรเลขให้แล้ว แต่พ่อไม่รู้ว่าพวกเขาส่งอย่างไร

"พ่อออกมาจากห้องขับเครื่องบินและเดินกลับที่นั่ง จากนั้น พ่อสวดภาวนาหลายบทเพื่อชาวจีนที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ ชาวจีนเป็นชาติที่ปราดเปรื่อง พ่อคิดถึงนักปราชญ์ชาวจีนหลายคน พ่อคิดถึงประวัติศาสตร์ทางวิทยาการและภูมิปัญญา และพวกเราเยสุอิตก็มีประวัติศาสตร์ที่นั่นด้วย นั่นคือ คุณพ่อมัตเตโอ ริคชี่ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของพ่อ

"ถามว่า พ่ออยากจะไปเมืองจีนบ้างไหม? ชัวร์! (ไป)พรุ่งนี้(ยังได้)เลย! พวกเราเคารพชาวจีน พระศาสนจักรขอแค่เสรีภาพเพื่อพันธกิจและงานของเรา มันไม่มีอย่างอื่นเลย เราไม่ควรลืมจดหมายเปิดผนึกที่สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เคยส่งถึงชาวจีน จดหมายฉบับนี้คือความจริงที่เกี่ยวข้องกับทุกวันนี้ มันคือเรื่องจริง มันดีนะที่จะกลับไปอ่านมันอีกครั้ง สันตะสำนักเปิดการเจรจาเสมอ เพราะมันคือการเคารพต่อชาวจีนทุกคน"

ทริปต่างประเทศต่อจาก อัลเบเนีย, ศรีลังกา, ฟิลิปปินส์ 

นักข่าว: "ประเทศต่อไปที่พระองค์จะเยือนคืออัลเบเนีย และบางทีอาจจะเป็นอิรัก หลังจากเสด็จเยือนฟิลิปปินส์และศรีลังกา พระองค์จะไปเยือนไหนต่อในปี 2015 ดิฉันสามารถพูดได้ไหมว่า(สถานที่ต่อไป)คืออาวีลา (สเปน) มันจะเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่มากถ้าพระองค์จะมาที่นี่ พวกเขาจะมีความหวังไหมคะ"

พระสันตะปาปา: "ท่านประธานาธิบดีหญิงของเกาหลีพูดกับพ่อด้วยภาษาสแปนิชที่ชัดมากๆว่า 'ความหวังคือสิ่งสุดท้ายที่คนๆหนึ่งจะสูญเสีย' ท่านประธานาธิบดีพูดกับพ่อด้วยการเอ่ยถึงความหวังในการรวมกันอีกครั้งของเกาหลี ทุกคนต้องมีความหวังเสมอ แต่ตอนนี้ ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ(ในการเยือนประเทศอื่นๆ) ขอพ่ออธิบายตามนี้ละกันนะ

"ปีนี้ การเยือนอัลเบเนียถูกจัดไว้แล้ว บางคนเริ่มพูดกันว่า พระสันตะปาปากำลังเริ่มทุกอย่างด้วยสิ่งที่เป็นชายขอบของสังคม แต่พ่อจะไปอัลเบเนียด้วยแรงบันดาลใจ 2 อย่าง หนึ่ง เพราะพวกเขาสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาล ลองคิดถึงคาบสมุทรบอลข่านดูซิ พวกเขาสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยชาวมุสลิม, ออโธด็อกซ์ และคาทอลิก โดยอาศัยสภาศาสนสัมพันธ์ที่ช่วยได้อย่างมากและมีความสมดุลมากๆด้วย นี่คือเรื่องดีและกลมเกลียวกันมาก การมาเยือนของพระสันตะปาปาคือความต้องการที่จะบอกทุกคนในโลกว่า มันเป็นไปได้เสมอที่จะทำงานร่วมกัน พ่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ประหนึ่งได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

"ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราคิดถึงประวัติศาสตร์ของอัลเบเนียในมุมของศาสนา นี่คือประเทศเดียวในโลกคอมมิวนิสต์ที่มีรัฐธรรมนูญคนไม่เชื่อในศาสนา ดังนั้น ถ้าคุณไปร่วมมิสซา มันก็หมายความว่าคุณกำลังขัดรัฐธรรมนูญ หนึ่งในรัฐมนตรีของอัลเบเนียบอกพ่อว่า ช่วงนั้น มีโบสถ์ถึง 1,820 แห่งที่ถูกทำลาย ทั้งโบสถ์ออโธด็อกซ์และคาทอลิก ส่วนโบสถ์อื่นๆถูกเปลี่ยนเป็นโรงภาพยนตร์, โรงละคร และลานลีลาศ พ่อจึงรู้สึกว่าพ่อต้องไปอัลเบเนีย มันเป็นทริปสั้นๆ แค่วันเดียวเท่านั้น

"ปีหน้า พ่ออยากจะไปฟิลาเดเฟีย (อเมริกา) เพื่อร่วมงานชุมนุมครอบครัว พ่อยังได้รับคำเชิญจากประธานของรัฐสภาอเมริกัน (คองเกรส) เช่นเดียวกัน ยังได้รับคำเชิญจากเลขาธิการองค์การสหประชาชาติที่เชิญพ่อไปที่นิวยอร์กด้วย ดังนั้น มันน่าจะมี 3 เมืองด้วยกัน(ในอเมริกา)

"จากนั้น ก็เป็นเม็กซิโก ชาวเม็กซิกันต้องการให้พ่อไปที่สักการะสถานแม่พระแห่งกัวดาลูเป้ ดังนั้น เราอาจใช้โอกาสนี้ไปด้วย(ไประหว่างเยือนอเมริกา) แต่ทั้งนี้ ทุกอย่างยังไม่แน่นอน

"สุดท้าย สเปน ราชวงศ์สเปนทูลเชิญพ่อด้วย สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งสเปนก็เชิญพ่อเช่นกัน และก็มีคำเชิญอีกมากมายที่เชิญให้ไปเยือนสเปน ดังนั้น มันก็มีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่แน่นอนอีกนั่นแหละ ฉะนั้น พ่อจึงพูดว่า มันอาจจะเป็นไปได้ที่จะไปเยือนอาวีลาในช่วงเช้า และกลับตอนเย็นๆ ถ้ามันเป็นไปได้นะ แต่ทุกอย่างยังไม่ถูกกำหนด ทุกคนยังสามารถมีความหวังต่อไป"

"ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็สละตำแหน่งพระสันตะปาปาเหมือนกัน"

นักข่าว: "ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ ที่ 16 เป็นอย่างไรบ้าง พระองค์ทรงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านเบเนดิกต์บ้างไหม มีโครงการร่วมกันหลังจากสมณสาส์นแสงแห่งความเชื่อบ้างไหม"

พระสันตะปาปา: "เราเจอกัน ก่อนที่พ่อจะออกมา (เพื่อไปเกาหลี) พ่อไปพบพระองค์ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ พระสันตะปาปากิตติคุณทรงเขียนเรื่องน่าสนใจมาหาพ่อ และทรงถามความคิดเห็นจากพ่อด้วย พวกเรามีความสัมพันธ์กันตามปกติ

"พ่อกลับมาคิดถึงเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเทวศาสตร์บางเรื่องนะ พ่อไม่ใช่นักเทวศาสตร์ แต่พ่อคิดว่า พระสันตะปาปากิตติคุณไม่ใช่เรื่องยกเว้น ไม่ใช่เรื่องยกเว้น แต่หลังจากหลายร้อยปีมานี้ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ คือพระสันตะปาปากิตติคุณองค์แรก ขอให้เราคิดถึงสิ่งที่พระองค์เคยตรัสด้วยนะ นั่นคือ 'พ่อชราภาพมากขึ้น พ่อไม่มีพละกำลัง' มันจึงเป็นอิริยาบทสุดงดงามของความสูงส่งทางจิตใจ ทั้งยังสุภาพถ่อมตนและเปี่ยมด้วยความกล้าหาญมาก

"แต่ถ้าเราคิดกันดูว่า 70 ปีที่แล้ว พระสังฆราชกิตติคุณยังเป็นข้อยกเว้นด้วยเลย ตอนนั้น ยังไม่มีพระสังฆราชกิตติคุณ แต่ทุกวันนี้ พระสังฆราชกิตติคุณคือบุคคลสำคัญแล้ว

"พ่อคิดว่า พระสันตะปาปากิตติคุณก็เป็นบุคคลสำคัญแล้วเช่นกัน เพราะชีวิตคนยืนยาวขึ้นและด้วยอายุขนาดนี้ ความสามารถร่างกายไม่สามารถบริหารจัดการได้ดีนัก เพราะร่างกายอ่อนล้า บางที สุขภาพอาจจะดี แต่ความสามารถทางร่างกายที่จะแบกรับปัญหาต่างๆของการบริหารจัดพระศาสนจักร อาจจะไม่ดีก็ได้ พ่อจึงคิดว่า พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ทรงทำแบบนี้แบบพระสันตะปาปากิตติคุณ อย่างที่พ่อพูดไปก่อนหน้านี้ นักเทวศาสตร์บางคนอาจจะพูดว่า เรื่องนี้ไม่ถูกต้องนัก(เรื่องพระสันตะปาปากิตติคุณ) แต่พ่อคิดแบบนี้นะ อนาคตจะบอกเราว่า เรื่องนี้ถูกหรือไม่ เราต้องรอดูกัน

"แต่คุณอาจจะพูดกับพ่อว่า 'ถ้าพระองค์อยู่ในช่วงเวลาตอนนั้น แล้วรู้สึกว่าพระองค์ไปต่อไม่ไหวแล้ว' พ่อก็จะทำแบบเดียวกัน! พ่อจะทำเหมือนพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ (สละตำแหน่ง) พ่อจะสวดภาวนา แต่พ่อก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ทรงเปิดประตูออก นี่คือสถาบันสำคัญ ไม่ใช่เรื่องยกเว้นอีกต่อไป

"มิตรภาพระหว่างพ่อกับพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ถือเป็นแบบพี่น้องอย่างแท้จริง แต่พ่อยังย้ำเหมือนเดิมว่า การที่พระองค์อยู่กับเรา มันเหมือนกับเรามี 'คุณปู่' อยู่ที่บ้านเพราะคำสั่งสอนของพระองค์ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์คือบุรุษแห่งปรีชาญาณและโดดเด่นมาก มันเยี่ยมมากที่ได้ยินคำสอนของพระองค์ พระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ทรงสนับสนุนพ่ออย่างเต็มที่ด้วย นี่แหละมิตรภาพที่พ่อมีกับพระองค์

จะไปญี่ปุ่นหรือเปล่า

นักข่าว: "พระองค์ได้พบกับคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์คิดอย่างไรเมื่อทรงทักทายเหล่าผู้อาวุโส(สตรีเกาหลีที่ถูกทหารญี่ปุ่นนำไปเป็นทาสกดขี่ทางเพศ)ในมิสซาเช้าวันนี้ นอกจากคนที่ทุกข์ทรมานในเกาหลี ยังมีคริสตชนแบบนี้ในญี่ปุ่นด้วย ปีหน้า จะครบ 150 ปีเหตุการณ์การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ จะมีความเป็นไปได้ไหมที่พวกเราจะได้สวดภาวนาเพื่อผู้เสียชีวิตพร้อมกับพระองค์ที่นางาซากิ"

พระสันตะปาปา: "มันอาจจะเป็นสิ่งงดงามที่สุด พ่อได้รับเชิญจากรัฐบาลและสภาพระสังฆราชคาทอลิกญี่ปุ่น พ่อได้รับคำเชิญแล้ว

"ในเรื่องเกี่ยวกับผู้ตกทุกข์ได้ยาก คุณต้องย้อนกลับไปยังคำถามแรกๆเลยล่ะ ชาวเกาหลีเป็นคนที่ไม่สูญเสียศักดิ์ศรีของตัวเอง นี่คือคนที่ถูกรุกรานและถูกกดขี่ข่มเหง มันทุกข์ทรมานและตอนนี้ก็ถูกแบ่งแยกจากกัน เมื่อวานนี้ ตอนที่พ่อไปพบเยาวชนที่เฮมิ พ่อได้ไปที่พิพิธภัณฑ์มรณสักขีด้วย มันเลวร้ายมากสำหรับคนที่ถูกทรมาน มันไม่ใช่แค่ถูกตรึงบนกางเขนเท่านั้น นี่คือความทุกข์ทางประวัติศาสตร์ ผู้คนมีขอบเขตที่จะต้องทนทรมาน และนี่คือส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขา

"วันนี้เช่นกัน บรรดาสตรีผู้สูงอายุที่นั่งอยู่ต่อหน้าพ่อในระหว่างมิสซา ทำให้พ่อคิดถึงการรุกรานที่เด็กผู้หญิงต้องถูกนำตัวไปยังค่ายทหารเพื่อกดขี่ทางเพศ แต่พวกเธอก็ไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีของตัวเองไป ในวันนี้ พวกเธอได้มาร่วมมิสซาให้เราเห็นใบหน้าที่ชราภาพ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ นี่แหละคือคนที่เข้มแข็งในศักดิ์ศรีของตัวเอง

"แต่เมื่อย้อนกลับไปยังคำถามเรื่องมรณสักขี การทุกข์ทรมานของสตรีเหล่านี้เป็นผลจากสงคราม! วันนี้ พวกเราอยู่ในโลกแห่งสงครามในทุกหนทุกแห่ง บางคนพูดกับพ่อว่า 'พระสันตะปาปา พระองค์รู้ไหมว่าเรากำลังอยู่ในสงครามโลก ครั้งที่ 3 แบบทีละเล็กทีละน้อย' นี่คือโลกในสงครามซึ่งความโหดร้ายทารุณถูกทำให้เกิดขึ้น

"พ่ออยากจะเน้นย้ำคำพูด 2 คำ คำแรกคือ โหดร้าย ทุกวันนี้เด็กๆก็ไม่เว้น! ครั้งหนึ่งมีคนพูดเกี่ยวกับการทำสงครามโดยใช้อาวุธและยุทธวิธีทางการทหาร ทุกวันนี้ก็เป็นแบบนั้น พ่อไม่ได้พูดว่าการทำสงครามโดยใช้อาวุธและยุทธวิธีทางการทหารเป็นสิ่งดี แต่ตอนนี้ ระเบิดก็ถูกยิงออกไปและมันเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์มากมาย มันฆ่าทุกคน อย่าเลย! เราต้องต้องหยุดยั้งและคิดสักนิดเกี่ยวกับระดับของความโหดร้ายที่เรากำลังเผชิญ

"อีกคำพูดที่พ่ออยากพูดถึงคือการทารุณกรรม ทุกวันนี้ การทารุณกรรมคือหนึ่งในวิธีการที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับการสืบหาข่าวกรองหรือกระบวนการยุติธรรม การทารุณกรรมคือบาปผิดต่อมนุษย์ มันคืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ พ่อบอกกับชาวคาทอลิกว่า การทารุณคนๆหนึ่งถือเป็นบาป มันเป็นบาปหนัก แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันคือบาปผิดต่อมนุษยชาติ

"โหดร้ายและทารุณกรรม! พ่ออยากให้พวกท่านสื่อมวลชนทำการไตร่ตรองสองคำนี้ว่า ท่านมองสิ่งเหล่านี้อย่างไรบ้างในทุกวันนี้ และ พวกท่านมองความโหดร้ายของมนุษยชาติ รวมถึงท่านคิดกับการทารุณกรรมอย่างไร พ่อคิดว่า มันเป็นการดีนะที่เราจะไตร่ตรองถึงเรื่องพวกนี้"


ภาพ: Getty Images

พักร้อนบ้างไหม: "พ่อก็พักบ้างเหมือนกัน"

นักข่าว: "พระองค์ทรงมีความอยากในการทำงานเยอะมาก ทรงอุทิศตนอย่างเต็มที่กับงาน และมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก ไม่มีวันหยุดพักเลย ทริปเยือนเกาหลีนี้ก็เป็นทริปที่โหดและทำร้ายร่างกายมากๆ เมื่อเดือนที่แล้ว พวกเราพบว่า พระองค์ต้องยกเลิกงานหลายอย่างในวินาทีสุดท้าย (เพราะทรงประชวร) สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้พระองค์กังวลกับชีวิตบ้างไหม"

พระสันตะปาปา: "ใช่ บางคนพูดกับพ่อเหมือนกัน พ่อได้ใช้วันพักเหมือนกันนะ ที่บ้านไง (หอพักซางตา มาร์ธา) พ่อก็พักตามปกตินี่แหละ พ่อนั่งอ่านหนังสือ มันน่าสนใจมาก ชื่อหนังสือคือ 'จงสุขใจที่คุณเป็นโรคประสาท' พ่อก็มีอาการทางประสาทเหมือนกัน แต่เราควรจะดูแลมันอย่างดี พ่อดื่มมาเต้ทุกวัน (ชาสุขภาพของชาวอาร์เจนไตน์)

"ครั้งสุดท้ายที่พ่อใช้วันพักร้อน เกิดขึ้นที่นอกกรุงบัวโนสไอเรส (อาร์เจนตินา) ตอนนั้นพ่อใช้กับกลุ่มเพื่อนเยสุอิตช่วงปี 1975 แต่พ่อก็หาวันพักผ่อนเสมอนะ มันคือเรื่องจริงที่พ่อเปลี่ยนจังหวะชีวิต พ่อนอนเยอะขึ้น พ่ออ่านสิ่งต่างๆที่ชอบ พ่อฟังเพลง นี่คือวิธีการพักของพ่อ ในเดือนกรกฏาคมและสิงหาคมที่ผ่านมา พ่อก็พักผ่อนนะ

"ส่วนอีกคำถาม มันก็จริงอีกเช่นกันที่พ่อต้องยกเลิกงานต่างๆ วันนั้นพ่อต้องไปโรงพยาบาลเจเมลลี่ (เพื่อเยี่ยมผู้ป่วย) ก่อนถึงจะถึงที่นั่นประมาณ 10 นาที พ่อไม่สามารถไปได้จริงๆ มันก็จริงอีกแหละ มันคือวันทั้ง 7 ที่มีความต้องการและข้อเรียกร้องสูงมากๆ ตอนนี้ พ่อก็ต้องรู้จักคิดให้รอบคอบบ้างแล้ว"

"พ่อไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดัง"

นักข่าว: "ที่นครริโอ เดอ จาเนโร ฝูงชนตะโกนสรรเสริญพระองค์ว่า 'ฟรานเชสโก้ ฟรานเชสโก้' แต่พระองค์ตอบกลับไปว่า 'อย่า! ขอให้สรรเสริญพระคริสตเจ้าดีกว่า' พระองค์ทรงมีวิธีการรับมือกับความนิยมอย่างใหญ่หลวงในตัวพระองค์เองอย่างไร พระองค์ทรงดำเนินชีวิตกับความนิยมนี้อย่างไร"

พระสันตะปาปา: "พ่อไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี พ่อดำเนินชีวิตด้วยการขอบคุณพระเจ้าที่ประชาชนมีความสุข ด้วยความสัตย์จริง พ่อคิดแบบนี้ พ่ออยากให้ประชากรของพระเจ้าพบแต่สิ่งดีๆ พ่อใช้ชีวิตกับความนิยมนี้ประหนึ่งความเอื้อเฟื้อกันบนหนทางของมนุษย์ แต่ภายในใจแล้ว พ่อพยายามคิดถึงบาปของตัวเอง คิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง พ่อไม่ได้คิดเลยว่าพ่อเป็นคนสำคัญ เพราะพ่อรู้ดีว่า นี่อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต อีกสัก 2-3 ปี จากนั้นก็กลับไปอยู่ที่บ้านของพระบิดา พ่อดำเนินชีวิตในฐานะที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ในผู้คนที่เรียกใช้พระสังฆราช ผู้อภิบาลของสัตบุรุษ เพื่อแสดงออกในหลายๆสิ่ง พ่อดำเนินชีวิตแบบเป็นตัวของตัวเองน้อยลงกว่าแต่ก่อน(ตอนที่ยังไม่ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา) แรกๆ พ่อมีความกลัวอยู่เล็กๆ แต่พ่อก็ทำมันได้"

"พ่ออยากไปเดินนอกวาติกัน แต่ทำไม่ได้"

นักข่าว: "พระสันตะปาปามาจากดินแดนอันไกลโพ้น(อาร์เจนตินา)และมาอาศัยอยู่ที่วาติกัน นอกเหนือจากซางตา มาร์ธา พระองค์ดำเนินชีวิตในวาติกันอย่างไร เพราะคนทั่วไปมักจะถามพวกเรานักข่าวว่า 'พระสันตะปาปาทำอะไรบ้าง, พระองค์ไปไหนบ้าง, พระองค์ออกไปเดินข้างนอกบ้างไหม' พวกเขาได้เห็นพระองค์เดินไปที่โรงอาหารและทำให้พวกเราประหลาดใจมากๆ ดังนั้น พระองค์ใช้ชีวิตแบบไหนบ้างในซางตา มาร์ธา นอกเหนือไปจากการทำงาน"

พระสันตะปาปา: "พ่อพยายามทำตัวให้ว่างเข้าไว้ มันมีงานและการนัดประชุมแบบเป็นทางการ แต่นี่คือชีวิตสำหรับพ่อ ชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดที่พ่อสามารถทำได้ จริงๆแล้ว พ่ออยากออกไปเดินข้างนอกนะ แต่มันทำไม่ได้ เพราะถ้าคุณเดินออกไป คนจะกรูกันเข้ามาทันที นี่คือความจริง! ภายในซางตา มาร์ธา พ่อก็ใช้ชีวิตปกติเพื่อทำงาน พักผ่อน และพูดคุยกับคนอื่นๆ

อยากขึ้นลงลิฟท์คนเดียว แต่เขาไม่ให้พระสันตะปาปาทำแบบนั้น

นักข่าว: "พระองค์รู้สึกเป็นเหมือนนักโทษ(ที่ถูกจองจำ) บ้างไหม"

พระสันตะปาปา: "แรกๆก็รู้สึกนะ แต่ตอนนี้ กำแพงที่ขวางกั้นได้พังทลายลงแล้ว ตัวอย่างเช่น มันเคยมีการพูดว่า 'พระสันตะปาปาทำสิ่งนั้นไม่ได้ ทำสิ่งนี้ไม่ได้นะ' พ่อจะยกตัวอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณหัวเราะเลย! เมื่อพ่ออยากจะขึ้นลงลิฟท์ จะมีคนเข้ามาด้วยทันที เพราะพระสันตะปาปาไม่สามารถเข้าลิฟท์คนเดียวได้! พ่อบอกเขาว่า 'คุณไปทำงานของคุณเถอะ และพ่อจะขึ้นลิฟท์ด้วยตัวพ่อเอง ทำตัวตามปกติเถอะ'"

ทีมโปรด "ซาน ลอเร็นโซ่" คว้าแชมป์ทวีปอเมริกาใต้

นักข่าว: "ขอโทษด้วยครับพระสันตะปาปา แต่ผมจะต้องขอถามคำถามนี้นะครับ ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่พูดภาษาสแปนิชซึ่งอาร์เจนตินาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย 'ซาน ลอเร็นโซ่' ทีมฟุตบอลสุดโปรดของพระองค์ได้คว้าแชมป์โกปา ลิเบอร์ตาดอเรส (แชมป์ทวีปอเมริกาใต้) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมอยากจะทราบว่าพระองค์ฉลองบ้างไหมครับ ผมได้ยินว่า ผู้แทนของทีมจะนำถ้วยแชมป์มาถวายพระองค์ ในการเข้าเฝ้าทั่วไปที่จะจัดวันพุธนี้ และพระองค์ก็มีโปรแกรมจะต้อนรับพวกเขาด้วย"

พระสันตะปาปา: "มันเป็นข่าวดีจริงๆ พ่อทราบข่าวนี้แล้ว มีคนบอกพ่อที่กรุงโซล และพวกเขาก็บอกด้วยว่า ทีมกำลังจะมาเข้าเฝ้าในวันพุธนี้ในการเข้าเฝ้าทั่วไป สำหรับพ่อ ซาน ลอเร็นโซ่ คือสถาบัน ครอบครัวของพ่อทุกคนเชียร์ทีมนี้ บิดาของพ่อเคยเล่นบาสเกตบอลที่ซาน ลอเร็นโซ่ ท่านเป็นผู้เล่นในทีมด้วย ในฐานะที่เป็นลูก เราก็ร่วมเชียร์ไปกับพ่อ ส่วนคุณแม่ก็ไปที่สนามด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้ ซาน ลอเร็นโซ่ ยุคปี'46 คือสุดยอดทีมและได้แชมป์ด้วย พ่ออยู่กับสิ่งนี้ด้วยความชื่นชมยินดี มันไม่ใช่ปาฏิหารย์เลย ไม่เลย!

สมณสาส์นเรื่องระบบนิเวศน์: "พ่อต้องการให้ข้อมูลถูกต้องที่สุด"

นักข่าว: "มีการพูดถึงมานานแล้วเกี่ยวกับสมณสาส์นเรื่องระบบนิเวศน์ พระองค์พอจะบอกเราได้ไหมว่าเมื่อไหร่จะสมณสาส์นนี้จะถูกตีพิมพ์ และประเด็นสำคัญมีอะไรบ้าง" 

พระสันตะปาปา: "พ่อเคยพูดไปหลายครั้งแล้วเกี่ยวกับสมณสาส์นนี้ พ่อพูดกับพระคาร์ดินัล (ปีเตอร์) เติร์กสัน และพูดกับอีกหลายๆคน พ่อถามพระคาร์ดินัลเติร์กสันว่าจะรวบรวมข้อมูลที่มีประมาณ 4 วันก่อนทริปนี้ได้ไหม พระคาร์ดินัลเติร์กสันได้ส่งร่างเอกสารครั้งแรก (First Draft) ให้แล้วด้วย พ่ออยากจะบอกว่ามันมีความยาวกว่าสารเตือนใจความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสารประมาณ 3 เท่าเห็นจะได้ นี่เป็นแค่ตัวร่างเอกสารครั้งแรกนะ มันไม่ใช่คำถามที่ง่ายนัก เพราะมันเป็นประเด็นเกี่ยวกับระบบนิเวศน์, การสร้างโลก และยังเกี่ยวกับระบบมนุษยนิเวศวิทยา เราสามารถพูดแบบประเด็นสู่ประเด็นในเรื่องที่เรามั่นใจในความถูกต้อง แต่เมื่อมันมีสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง บางสิ่งอาจมีน้ำหนักมากพอ แต่บางอย่างก็ไม่

ในสมณสาสน์เช่นนี้ซึ่งต้องมีความน่าเชื่อถือและเป็นอำนาจของพระสันตะปาปา เราสามารถต่อยอดไปถึงสิ่งที่เราแน่ใจแล้วเท่านั้น ถ้าพระสันตะปาปาพูดว่า ศูนย์กลางของระบบจักรวาลคือโลก ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ พระองค์ก็จะผิดทันที เพราะพระองค์พูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ นี่แหละคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราจึงต้องมาศึกษากัน ศึกษาแบบละเอียดหัวข้อต่อหัวข้อ และพ่อเชื่อว่ามันจะกลายเป็นเรื่องละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แต่การที่จะศึกษาเรื่องสำคัญ เราต้องมีความมั่นใจแล้วว่ามันถูกต้องเชื่อถือได้ เพื่อที่คนทั่วไปสามารถพูดว่า ในหลักฐานอ้างอิงก็มีสมมติฐาน พูดว่ามันมีข้อมูลมีที่มาที่ไป คนทั่วไปจะได้พูดได้ว่า เนื้อหาในสมณสาส์นมีข้อมูลอ้างอิง เนื้อหาอ้างอิงต้องไม่ใช่หลักความเชื่อ มันต้องเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้

เกาหลีเหนือ: "สองเกาหลีพูดภาษาเดียวกัน มีแม่คนเดียวกัน"

นักข่าว: "ขอบคุณพระองค์มากๆครับที่มาเยือนเกาหลีใต้ ผมกำลังจะถามพระองค์ 2 คำถาม คำถามแรก ก่อนจะเริ่มมิสซาสุดท้ายที่อาสนวิหาร พระองค์ทรงเข้าไปปลอบโยนเหล่าสตรีอาวุโส ตอนนั้น พระองค์ทรงคิดอะไรอยู่ครับ และคำถามที่สองคือ ที่กรุงเปียงยาง (เกาหลีเหนือ) พวกเขามองศาสนาคริสต์เป็นภัยคุกคามทางตรงต่อระบบการปกครองและความเป็นผู้นำของเขา เราทราบดีเกี่ยวกับสิ่งร้ายๆที่เกิดกับศาสนาคริสต์ในเกาหลีเหนือ แต่เราไม่ทราบแน่ชัดว่า จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในความคิดของพระองค์ มันพอจะมีวิธีการพิเศษที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีที่เกาหลีเหนือจัดการศาสนาคริสต์ในประเทศของตนไหม"

พระสันตะปาปา: "คำถามแรก พ่อขอตอบอีกครั้งนะ วันนี้ เรื่องสตรีที่มาร่วมพิธี ทั้งๆที่พวกเธอต้องทนทุกข์ พวกเธอมีศักดิ์ศรีและพวกเธอก็มาให้เห็นหน้า พ่อคิดนะ เหมือนอย่างที่พูดไปเมื่อครู่นี้เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานจากสงคราม จากความโหดร้ายของคนที่พัวพันกับสงคราม สตรีเหล่านี้ถูกตักตวงผลประโยชน์ ถูกนำไปเป็นทาส ทั้งหมดคือความโหดร้าย พ่อคิดเรื่องพวกนี้และคิดถึงศักดิ์ศรีที่พวกเขามี และคิดถึงความทุกข์ที่พวกเธอต้องประสบ การทุกข์ทรมานคือผลที่ตามมา ผู้นำพระศาสนจักรยุคแรกเริ่มเคยพูดไว้ว่า เลือดของมรณสักขีคือเมล็ดพันธุ์ของคริสตชน พวกคุณชาวเกาหลีได้หว่านเมล็ดพันธุ์นี้เยอะมากๆ และบัดนี้ มันก็ผลิดอกออกผล ทุกคนได้เห็นถึงผลของเมล็ดพันธุ์เลือดมรณสักขี

"ส่วนเกาหลีเหนือ พ่อคิดว่า มันคือความทุกข์ระทมและสิ่งหนึ่งที่พ่อรู้แน่ๆก็คือ มีญาติพี่น้องหลายคน(ในเกาหลีเหนือ)ที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ นี่คือความทุกข์ทรมาน แต่มันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากการแบ่งประเทศออกจากกัน วันนี้ที่อาสนวิหาร เมื่อพ่อสวมกาซูลา พ่อก็ได้รับของขวัญที่พวกเขาให้พ่อ นั่นคือมงกุฎหนามของพระคริสตเจ้าที่ทำจากลวดเหล็กที่แบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ฝั่ง ตอนนี้ พ่อนำมงกุฎหนามนี้ติดตัวขึ้นเครื่องมาด้วย นี่คือของขวัญที่พ่อรับไว้ มันคือความทุกข์จากการแยกจากกัน ครอบครัวแตกแยก แต่เหมือนกับที่พ่อพูดไปเมื่อวานแหละ พ่อจำได้ไม่ชัดว่าอะไร แต่ตอนนั้นพ่อกำลังพูดกับพวกพระสังฆราช พ่อพูดว่า เรามีความหวัง กล่าวคือ สองเกาหลีคือพี่น้องกัน และพูดภาษาเดียวกัน สองเกาหลีพูดภาษาเดียวกันเพราะเรามีแม่คนเดียวกัน และนี่คือความหวังของเรา การทุกข์ทรมานจากการถูกแยกจากกันจัดว่าหนักหนาสาหัสมาก พ่อเข้าใจดีและพ่อภาวนาให้มันจบลงเสียที"

การแต่งตั้งพระอัครสังฆราช ออสการ์ โรเมโร่ เป็นบุญราศี

นักข่าว: "ในฐานะที่ผมเป็นลูกครึ่งอิตาเลี่ยน-อเมริกัน ผมอยากจะชื่นชมพระองค์เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ พระองค์ควรพูดแบบไม่ต้องกลัวนะครับ และถ้าพระองค์ประสงค์จะฝึกภาษาอังกฤษก่อนจะไปเยือนอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านที่สองของผม ผมยินดีจะช่วยพระองค์ คำถามของผมคือ พระองค์ทรงพูดถึงมรณสักขี ตอนนี้ กระบวนการพิจารณาพระอัครสังฆราช (ออสการ์) โรเมโร่ ไปถึงขั้นไหนแล้ว และพระองค์อยากให้ผลลัพธ์ของกระบวนการนี้ออกมาอย่างไร"

พระสันตะปาปา: "กระบวนการนี้ถูกขัดขวางโดยสมณกระทรวงหลักความเชื่อ ด้วยเหตุที่ว่าเพื่อพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ตอนนี้ การขัดขวางถูกยกเลิกไปแล้ว และเรื่องก็ไปอยู่ที่สมณกระทรวงเพื่อการประกาศเป็นนักบุญที่กำลังดำเนินการอยู่ตามวิธีปกติ มันขึ้นกับว่าผู้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการจะจัดการต่ออย่างไร มันสำคัญมากๆที่จะก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว

"สิ่งที่พ่ออยากชี้แจงก็คือ เมื่อมีมรณสักขีที่ตายเพราะความเกลียดชังทางความเชื่อ (Odium Fidei - คาทอลิกที่ถูกคนต่างศาสนาฆ่าตาย เพราะเกลียดชังความเชื่อคาทอลิก) ไม่ว่าจะเกิดตอนที่เขากำลังประกาศยืนยันความเชื่อหรือตอนที่เขากำลังทำงานตามที่พระเยซูสอนเราให้ทำกับเพื่อนพี่น้อง มันก็เป็นหน้าที่ของนักเทวศสตร์ที่กำลังศึกษาอยู่ เพราะนอกจากท่าน(พระอัครสังฆราชโรเมโร่) ยังมีกรณีของคุณพ่อรูติลลิโอ กรานเด และอีกหลายๆท่านด้วยที่ถูกฆ่าตาย แต่ทั้งหมดยังไม่ร้ายแรงเท่าพระอัครสังฆราชโรเมโร่ (ถูกยิงเสียชีวิต ขณะถวายมิสซา) นี่เป็นข้อแตกต่างทางเทวศาสตร์ สำหรับพ่อ พระอัครสังฆราชโรเมโร่คือคนของพระเจ้า ท่านคือคนของพระเจ้า แต่มันก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ และพระเจ้าจะประทานเครื่องหมาย(แห่งการอนุมัติแต่งตั้งเป็นบุญราศี)เอง แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ก็จะทำแน่นอน! ตอนนี้ ผู้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการพิจารณาเป็นบุญราศี ต้องก้าวต่อไป เพราะมันไม่มีข้อขัดขวางใดๆแล้ว"

การภาวนาเพื่อสันติภาพล้มเหลวใช่ไหม

นักข่าว: "มาพูดถึงเรื่องที่เกิดในกาซ่ากันบ้าง การภาวนาเพื่อสันติภาพซึ่งจัดที่วาติกันในวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ล้มเหลวใช่ไหมคะ"

พระสันตะปาปา: "การภาวนาเพื่อสันติภาพไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน! อันดับแรก ความคิดริเริ่มในการภาวนาไม่ได้มาจากตัวพ่อเอง ความคิดริเริ่มจัดงานภาวนาร่วมกันมาจากประธานาธิบดีของอิสราเอลและปาเลสไตน์ พวกเขามาพูดกับพ่อเกี่ยวกับความอึดอัดใจนี้ พวกเขาต้องการจัดงานภาวนาที่นั่น (แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์) ด้วยซ้ำ แต่เราไม่สามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมได้ เพราะค่าใช้จ่ายทางการเมืองของแต่ละฝั่งสูงมากๆ ถ้าหากพวกเขาต้องข้ามฝั่งไปหากัน สถานเอกอัครสมณทูตวาติกันคือสถานที่เป็นกลาง แต่ถ้าจะจัดที่นั่น ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ก็ต้องเข้ามาที่อิสราเอล และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ประธานาธิบดีทั้งสองจึงพูดกับพ่อว่า 'งั้นจัดที่วาติกันก็แล้วกัน พวกเราจะไปที่นั่นเอง' ทั้งสองคนนี้คือบุรุษแห่งสันติภาพ พวกเขาคือคนที่เชื่อในพระเจ้า และพวกเขาได้ใช้ชีวิตผ่านเรื่องแย่ๆมามาก พวกเขามั่นใจว่า หนทางเดียวที่จะแก้สถานการณ์ได้ก็คือการเสวนาพูดจากัน การเจรจาต่อรอง และสันติภาพ

"คุณถามพ่อว่า มันล้มเหลวไหม? ไม่เลย ประตูยังคงเปิดอยู่ พวกเราทั้งสี่คน ประธานาธิบดีทั้งสอง พระอัยกาบาร์โธโลมิว ที่ 1 และตัวพ่อเอง พ่อต้องการให้พระอัยกาบาร์โธโลมิว มาร่วมด้วยในฐานะผู้นำพระศาสนจักรออโธด็อกซ์ มันเป็นเรื่องดีที่ท่านมาอยู่ร่วมงานกับเรา ประตูแห่งการภาวนาถูกเปิดออก พวกเราต้องสวดภาวนา สันติภาพคือของขวัญจากพระเจ้า มันคือของขวัญ แต่เราสมควรได้รับมันด้วยการทำงานของเรา การที่จะบอกกับมนุษยชาติว่า หนทางของการเสวนาคือสิ่งสำคัญ การเจรจาเป็นสิ่งจำเป็น แต่การภาวนาก็เป็นอีกสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน หลังจากนั้น เราได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมกันพอดี การพบหน้าเพื่อภาวนาจึงไม่หลอมรวมทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มันเป็นก้าวย่างสำคัญของทัศนคติมนุษย์ ตอนนี้ ควันจากระเบิดและสงครามทำให้พวกเรามองไม่เห็นประตูบานนั้น แต่ประตูยังคงเปิดอยู่ และพ่อก็เชื่อในพระเจ้า พ่อมองไปที่ประตู และมีหลายคนที่สวดภาวนา หลายคนที่ขอให้พระเจ้าทรงช่วย พ่อชอบคำถามนี้นะ ขอบคุณมาก!"

Read More: Zenit 


Comments