ฟาติมาสาร - พ่อไม่อยากเป็นปลากระป๋องในรถกันกระสุน (22 มิ.ย. 2014)

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส น่าจะเป็น หนึ่งในพระสันตะปาปาที่เป็นมิตรกับสื่อมากๆ (MEDIA FRIENDLY) พระองค์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายสำนักแบบไม่มีแบ่งแยกเลยว่าเป็นสื่อคาทอลิกหรือสื่อทั่วไป สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ พระสันตะปาปาองค์นี้ จัดตารางการขอเข้าพบและประชุมด้วยพระองค์เองทั้งหมด พระองค์เคยกล่าวว่า “ถ้าให้เลขาฯจัดการ มันมีความเสี่ยงที่พระองค์จะไม่ได้พบชาวบ้านที่มีเรื่องเดือดร้อนแน่ๆ” ดังนั้น ไม่ว่าใครขอนัดพบ พระสันตะปาปามีเวลาให้หมด เหมือนกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ... จากนี้ไป ผมจะพาไปดูประเด็นสำคัญๆที่พระสันตะปาปาทรงให้สัมภาษณ์กับ “ลา วันกวาเดีย” (LA VANGUARDIA – สื่อของแคว้นกาตาลัน เมืองหลวงของแคว้นนี้คือ “บาร์เซโลน่า” นั่นเอง) มีประเด็นไรบ้าง ไปดูกันเลย



ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่ชอบอ้างพระนามพระเจ้า

พระสันตะปาปาตรัสถึงเรื่องนี้ว่า “มันขัดแย้งกันนะ ความรุนแรงในพระนามของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบันเลย มันคือเรื่องในอดีต ถ้าเป็นสมัยโบราณ ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า คริสตชนได้ทำแบบนี้ (ทำสงครามในนามพระเจ้า และบังคับชนพื้นเมืองเปลี่ยนศาสนา) แต่ตอนนี้ เรามาอยู่ในยุคที่ศาสนาขัดแย้งอย่างรุนแรงไปแล้ว”

ไม่อยากเป็นปลากระป๋องในรถกันกระสุน อายุปูนนี้ ไม่กลัวแล้ว

พระสันตะปาปา ตรัสว่า “พ่อรู้ดีว่า อาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพ่อ แต่มันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พ่อจำได้ดีว่าตอนไปบราซิล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เตรียมรถโป๊ปโมบิลพร้อมกระจกกันกระสุน ทว่า สิ่งนี้ทำให้พ่อไม่สามารถทักทายประชาชน มันทำให้พ่อไม่สามารถไปบอกว่าพ่อรักพวกเขาได้เลย เพราะการอยู่ในรถกระจกกันกระสุน ไม่ต่างจากการเป็นปลากระป๋องอยู่ในนั้น แม้จะเป็นกระจก แต่สำหรับพ่อ มันคือกำแพงชัดๆ มันเป็นความจริงว่า อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่พ่อตระหนักว่า ตัวเองอายุปูนนี้แล้ว (77 ชันษา) มันไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้วล่ะ” 

ทำไม พระศาสนจักรต้องถือความยากจนและสุภาพถ่อมตน

พระสันตะปาปา ตอบว่า “ความยากจนและความสุภาพถ่อมตนคือศูนย์กลางของพระวรสาร พ่อพูดแบบนี้โดยยึดมั่นในหลักเทวศาสตร์ ไม่ใช่สังคมศาสตร์ ถ้าปราศจากการถือความยากจน คุณไม่มีวันเข้าใจพระวรสารได้เลย กระนั้น เราต้องแยกให้ออกระหว่างการถือความยากจนกับความยากจนข้นแค้น ดังนั้น พ่อจึงย้ำเสมอว่า พระเยซูต้องการให้บรรดาพระสังฆราช อย่าดำเนินชีวิตเป็นเจ้าชาย แต่จงเป็นผู้รับใช้”

พระศาสนจักรจะลดช่องว่างคนรวยและคนจนอย่างไร

พระสันตะปาปาตอบว่า “มันเห็นกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่า อาหารที่เรากินทุกวัน ถูกกินทิ้งกินขว้าง และเหลือมากพอที่จะนำไปให้ผู้อดอยากได้ทานกับเราด้วย พ่อคิดเสมอว่า ระบบเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีพอ เพราะศูนย์กลางเศรษฐกิจ ควรเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ให้เงินเป็นตัวตั้ง ไม่ควรให้เงินเป็นพระเจ้า และผลที่ตามมาคือมันทำให้เราตกเป็นทาสของเงิน และไม่สนใจเพื่อนมนุษย์ ยุคนี้ เป็นยุคของวัฒนธรรมทิ้งๆขว้างๆ ทั้งอาหารและมนุษย์ เราได้เห็นผู้สูงอายุถูกทิ้งขว้าง เยาวชนถูกเมินเฉย และเด็กทารกถูกคิดว่าอย่าเกิดมาจะดีกว่า

“เป็นเรื่องน่าเศร้าที่หลายคนเข้าใจโลกาภิวัฒน์แบบผิดๆ หลายคนมองโลกาภิวัฒน์คือความร่ำรวย การเข้าใจแบบนี้ยิ่งทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนทั้งโลกหลุดออกจากศูนย์กลางยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเป็นแบบนี้ โลกาภิวัฒน์จะเป็นเหมือนการมองแค่มิติเดียวตามใจตนเอง ทุกคนเป็นหนึ่งในโลกาภิวัฒน์ แต่เป็นหนึ่งด้วยเงิน ขณะที่อัตลักษณ์ความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่เกิดขึ้นเสียที”


การลงประชามติของแคว้นกาตาลันที่ต้องการแยกตัวจากสเปน

พระสันตะปาปา แสดงความเห็นว่า “การแบ่งแยกทุกชนิดสร้างความกังวลให้พ่อหมดแหละ มันมีการให้เอกราชทั้งแบบการให้อิสระปกครองตนเองและการแยกตัวเป็นอิสระ ถ้าเป็นเรื่องแบ่งแยกดินแดน พ่อคิดถึงยูโกสลาเวีย อันนี้ชัดเจนสุด ประเทศนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ แต่ในกรณีอื่นๆ อาทิ สกอตแลนด์ที่ต้องการแยกตัวจากอังกฤษ หรือจะเป็นกาตาลันที่ต้องการแยกตัวจากสเปน การแยกตัวเป็นอิสระอันเกิดจากความแตกแยกตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแบบนี้ เราคงต้องดูเป็นกรณีไป”

99 เปอร์เซ็นต์ของคนในวาติกัน ไม่เห็นด้วยกับการภาวนาเพื่อสันติภาพ

เรื่องน่าเศร้านี้ พระสันตะปาปากล่าวแบ่งปันว่า “มันไม่ง่ายเลยนะที่พ่อจะจัดงานภาวนานี้ ในวาติกัน มีคนกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า มันไม่ควรจะมีงานนี้เกิดขึ้น แต่อีก 1 เปอร์เซ็นต์เห็นว่ามันควรจะจัดขึ้น งานนี้ไม่ใช่งานสัญลักษณ์ทางการเมือง พ่อรู้สึกตั้งแต่ต้นแล้วว่า มันเป็นการแสดงออกทางศาสนา เพื่อเปิดประตูบานใหม่ให้กับโลก”

เปิดหอจดหมายเหตุวาติกัน หาความจริงเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว

พระสันตะปาปา ตรัสว่า “พ่อเชื่อว่าการเปิดหอจดหมายเหตุครั้งนี้ จะทำให้ความจริงหลายอย่างปรากฏออกมา สิ่งที่ทำให้พ่อหนักใจคือเรื่องของสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 ผู้ทรงนำพาพระศาสนจักรระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2 หลายคนพูดถึงพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 แบบเสียๆหายๆ แต่เราต้องอย่าลืมว่า พระองค์ได้ให้ที่พักแก่ชาวยิวจำนวนมากที่หนีการตามฆ่าจากนาซี อาทิ การเปิดพระราชวังฤดูร้อนให้เป็นที่หลบภัย จำได้ไหมว่า มีทารกชาวยิวถึง 42 คนที่เกิดในห้องนอนของพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 แถมเกิดบนเตียงนอนของพระองค์ด้วย

“พ่อจะไม่พูดว่า พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด เพราะตัวพ่อเองก็ทำผิดพลาดหลายครั้ง แต่เราต้องมองพระองค์ตามบริบทของเวลาในยุคนั้น มันคงเป็นการดีที่พระองค์จะไม่พูดอะไรมากระหว่างสงครามโลก เพราะถ้าพูดมาก ชาวยิวจำนวนมากก็จะถูกจับและฆ่าตาย”

ตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคุณพ่อเจ้าวัดหรือเป็นพระสันตะปาปา

พระสันตะปาปา ตอบว่า “ความรู้สึกเป็นคุณพ่อเจ้าอาวาสวัดคือสิ่งที่อยู่ในกระแสเรียกของพ่อเสมอ การรับใช้เพื่อนมนุษย์มันออกมาจากตัวพ่อเอง อาทิ การปิดไฟก็คือการประหยัดเงิน และนำเงินไปช่วยผู้ยากไร้ นี่คือสิ่งที่คุณพ่อเจ้าอาวาสวัดควรทำ ขณะเดียวกัน พ่อยังรู้สึกถึงการเป็นพระสันตะปาปาเช่นกัน มันช่วยทำให้พ่อลงมือทำหลายอย่างด้วยความจริงจัง พระสงฆ์เพื่อนร่วมงานของพ่อก็จริงจังและเป็นมืออาชีพมากๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเล่นๆกับพระสันตะปาปาผู้มีใจเป็นเจ้าอาวาสวัด เพราะมันดูไม่ดีและดูไม่เป็นผู้ใหญ่ถ้าทำแบบนั้น” 

ตอนเป็นพระคาร์ดินัล พระองค์ลาเกษียณต่อพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ไปแล้ว

พระสันตะปาปา ตอบว่า “ใช่ พ่อยื่นจดหมายลาเกษียณตอนอายุ 75 ปีไปแล้ว อัครสังฆมณฑลบัวโนสไอเรส (อัครสังฆมณฑลที่ปกครองก่อนเป็นพระสันตะปาปา) ก็ได้เตรียมห้องพักหลังลาเกษียณให้พ่อแล้วด้วย มันอยู่ในบ้านพักพระสงฆ์เกษียณอายุ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่พ่อจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา”


เชียร์ใครในฟุตบอลโลก 2014

พระสันตะปาปา ตอบว่า “ชาวบราซิลได้ขอร้องพ่อให้วางตัวเป็นกลาง (พร้อมทรงหัวเราะ) และพ่อขอรักษาคำมั่นสัญญานี้ เพราะบราซิลและอาร์เจนติน่า ถือเป็นคู่รักคู่แค้นกัน”

อยากให้ประวัติศาสตร์จดจำพระองค์ว่าอย่างไร

พระสันตะปาปา ทรงตอบทิ้งท้ายว่า “พ่อไม่เคยมีความคิดเรื่องพวกนี้นะ แต่พ่ออยากให้คนจดจำพ่อและพูดว่า ‘ท่านเป็นคนดีนะ ท่านทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ท่านไม่ได้เลวร้ายอะไร’ แค่ทุกคนพูดแบบนี้ พ่อว่ามันก็โอเคแล้วล่ะ”

AVE   MARIA


Comments