โป๊ปฟรังซิส: "เราเข้าใจเรื่องของพระเจ้าได้ด้วยการใช้หัวใจ"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงเตือนสติ เราจะเข้าใจเรื่องของพระเจ้าได้ด้วยการใช้หัวใจ อย่าทำตัวหยิ่งยะโสคิดว่า เรื่องของพระเจ้าต้องใช้สมองเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ ทรงชี้ พระเยซูมักมีปัญหากับพวกเคร่งธรรมบัญญัติเป็นประจำ คนพวกนี้คิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง เรื่องไหนที่ขัดกับตนถือว่าเป็นเรื่องไม่จริง ขนาดเราปลุกคนตายให้ฟื้นได้ คนพวกนี้ยังไม่เชื่อความจริงที่เกิดเลย ดังนั้น คริสตชนต้องอย่าทำตัวหยิ่งยะโสทางความคิดและหัวใจตายด้านเด็ดขาด


ช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา บทอ่านประจำมิสซานี้มาจากหนังสือกิจการอัครสาวก เป็นเหตุการณ์ที่บาร์นาบัสและเปาโลประกาศพระวรสารที่เมืองอันทิโอ๊ก และที่เมืองอันติโอ๊กนี้เองที่เป็นสังฆมณฑลแรก เพราะเป็นที่ซึ่งบรรดาศิษย์พระเยซูได้รับการเรียกอย่างเป็นทางการว่า "คริสตชน"

พระสันตะปาปาทรงแบ่งปันบทอ่านจากพระวรสารวันนี้ ใจความว่า "บทอ่านวันนี้ เราได้เห็นคน 2 กลุ่ม (อันทิโอ๊กและเยรูซาเล็ม) พวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวหลังจากที่สตีเฟ่นถูกฆ่าตายดุจมรณสักขี พวกเขากระจัดกระจายกันไปตามเมล็ดพันธุ์ของพระวรสาร ทุกที่ที่พวกเขากระจัดกระจายไป พวกเขานำพระวาจาของพระเจ้าติดตัวไปด้วย ตอนแรก พวกเขาประกาศพระวรสารแก่ชาวยิวเท่านั้น แต่เมื่อบางคนที่ไปเมืองอันทิโอ๊ก ก็ได้เริ่มประกาศพระวรสารให้กับชาวกรีกด้วย ในไม่ช้า พวกเขาก็เปิดประตูไปหาชาวกรีกซึ่งเป็นคนต่างศาสนา ทันทีที่ข่าวการประกาศพระวรสารไปยังชาวกรีกแพร่ไปถึงเยรูซาเล็ม บาร์นาบัสก็ถูกส่งตัวไปที่อันทิโอ๊ก เพื่อตรวจสอบดูว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ บาร์นาบัสได้พบว่าทุกคนมีความสุขมากๆ เพราะมีคนจำนวนมากได้เข้ามาหาพระเจ้า

"ลองดูดีๆนะ คริสตชนเหล่านี้ไม่ได้พูดเลยว่า 'ไปประกาศพระวรสารให้ชาวยิวก่อน จากนั้นค่อยไปประกาศให้ชาวกรีก เสร็จจากนี้ค่อยไปประกาศให้คนต่างศาสนา และค่อยไปประกาศให้ทุกคน' ไม่! พวกเขาไม่ได้พูดแบบนั้น พวกเขาให้ตัวเองได้รับการนำจากพระจิต พวกเขาเชื่อฟังพระจิตแบบใสซื่อ พวกเขาให้พระจิตนำทางเพื่อจะได้ไปนำคนอื่นอีกทีหนึ่ง พวกเขาให้ผลลัพธ์เกิดด้วยความเปิดประตูต้อนรับทุกคน ต้อนรับคนต่างศาสนาที่ถูกมองว่าเป็นคนมีมลทินทางร่างกายในตอนนั้น คริสตชนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มแรกที่เชื่อฟังเสียงของพระจิตแบบใสซื่อแล้วปฏิบัติทันที บางครั้ง พระจิตกระตุ้นเราให้ทำเรื่องใหญ่ๆทันที เหมือนกับที่พระจิตทรงนำทางฟิลิปและให้เขาโปรดศีลล้างบาปแก่ขันทีชาวเอธิโอเปีย และยังเหมือนตอนที่นำเปโตรให้ไปโปรดศีลล้างบาปคอร์เนลิอุส

"อีกประการหนึ่ง พระจิตนำเราอย่างอ่อนโยน ... พระจิตทำงานในพระศาสนจักรทุกวัน ทำงานในชีวิตเราทุกวัน พวกท่านบางคนอาจบอกว่า 'ผมไม่เคยเห็นพระจิตเลย!' แต่ช้าก่อน ลองตั้งใจพิจารณาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นซิ พิจารณาสิ่งที่กำลังเกิดกับความคิดของตัวท่านเอง พิจารณาสิ่งที่กำลังเกิดกับจิตใจของท่าน มันคือสิ่งดีใช่ไหม? นี่แหละคือพระจิตที่เชิญเราให้เดินทางนี้ นี่คือการฟังเสียงพระจิตแบบซื่อๆ นี่คือการฟังพระจิตแบบบริสุทธิ์ใจ

"คนกลุ่มที่สองที่เราได้ฟังกันในบทอ่าน เป็นพวกคนมีความรู้ เป็นพวกที่ไปหาพระเยซูในพระวิหาร กล่าวคือ พวกนี้คือผู้เคร่งธรรมบัญญัติ พระเยซูมักจะมีปัญหากับคนเหล่านี้ เพราะคนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย! กล่าวคือ พวกเขามักจะกลับไปยังจุดๆเดิม เพราะพวกเขาเชื่อเสมอว่าศาสนาคือเรื่องของความคิดและเป็นบทบัญญัติ พวกเขามองว่าเราต้องทำตามธรรมบัญญัติและทำอย่างอื่นนอกเหนือกจากนี้ไม่ได้เลย พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการการประทับอยู่ของพระจิต พระเยซูพูดอะไร คนพวกนี้ขอแย้งอย่างเดียว ทุกคนสิ่งต้องเป็นหลักความคิดและเป็นเรื่องภูมิปัญญา คนพวกนี้ไม่มีหัวใจ! พวกเขาไม่มีความรักหรือความงดงามใดๆ พวกเขาต้องการเพียงแค่สิ่งที่สามารถอธิบายได้

"คนพวกนี้ไม่เปิดใจให้พระจิต พวกเขาเชื่อว่า เรื่องของพระเจ้าสามารถเข้าใจได้ด้วยสมองและความคิดตัวเองเท่านั้น พวกเขาภูมิใจกับสิ่งนี้ พวกเขาคิดว่าพวกเขารู้ไปทุกเรื่อง และเรื่องที่ไม่ตรงกับสติปัญญาของพวกเขาก็เป็นเรื่องไม่จริงไปหมด พวกท่านสามารถปลุกคนตายให้กลับเป็นขึ้นมาต่อหน้าเขาได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อ

"กระนั้น พระเยซูทรงไปไกลกว่าพวกเขา พวกเขาไม่เชื่อเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในฝูงแกะของพระองค์ พวกเขาคือพวกเผด็จการทางสติปัญญา ทัศนคติแบบนี้เป็นการปิดใจตัวเอง พวกเขาปฏิเสธประชากรของตัวเอง"

ตอนท้าย พระสันตะปาปาทรงสรุปบทเทศน์ ด้วยการกล่าวว่า "คนสองกลุ่มนี้ เราได้เห็นแล้วว่า กลุ่มแรก สุภาพ น่ารัก ถ่อมตน และเปิดใจให้พระจิต ส่วนอีกกลุ่ม หยิ่งยะโส คิดว่าตัวเองแน่ ถอยห่างจากประชาชน และเป็นเผด็จการความคิด พวกเขาปิดใจไม่ต้อนรับพระจิต คนพวกนี้ไม่ได้ดื้อรั้นเท่านั้นนะ มันยิ่งกว่านั้นอีก พวกเขาเป็นพวกใจด้านชาไร้ความรู้สึก ดังนั้น ขอพระเจ้าประทานพระหรรษทานแห่งความใสซื่อต่อพระจิตให้กับเรา เพื่อที่พระจิตจะได้ทำให้เราก้าวต่อไปได้ในชีวิต ขอให้พระหรรษทานของความนบนอบของพระจิต ช่วยเราให้ปกป้องตัวเองจากจิตชั่วที่คิดว่าตัวเองแน่ หยิ่งยะโส และช่วยเราจากการปิดใจไม่ต้อนรับพระจิต"

Read More: Vatican Radio

Comments