โป๊ปฟรังซิส: "คริสตชนที่ไม่เป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซู ก็จัดว่าไร้ค่า"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงเตือน คริสตชนที่ไม่ทำตัวเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซู จัดเป็นคริสตชนไร้ค่า และถ้าพระศาสนจักรปิดตัวเอง ไม่ยอมเป็นประจักษ์พยานถึงพระเจ้า เอาแต่ห่วงเรื่องเทวศาสตร์และสนใจแต่โบสถ์สวยๆ พระศาสนจักรก็จะไร้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน ทรงตั้งคำถาม "เราได้เป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูหรือยัง หรือว่าเราเป็นคริสตชนตัวปลอม"


ช่วงเช้าวันอังคารที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา มิสซานี้ พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า:

- บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวกในวันนี้ เราได้เห็นการเป็น "มรณสักขี" ของนักบุญสตีเฟ่น ผู้เป็นมรณสักขีคนแรกของพระศาสนจักร การตายของท่านเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากพระคริสตเจ้าก็ว่าได้

นักบุญสตีเฟ่นก็เหมือนพระเยซู ที่เผชิญหน้ากับความอิจฉาริษยาจากพวกผู้นำที่พยายามจะกำจัดท่านให้ได้ นักบุญสตีเฟ่นได้ตักเตือนคนพวกนั้นว่าอย่าต่อต้านพระจิต แต่คนเหล่านั้นไม่มีหัวใจที่เปี่ยมด้วยสันติ คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังในจิตใจ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมถ้อยคำของนักบุญสตีเฟ่นจึงทำให้พวกเขาโกรธจัดสุดๆ ความเกลียดชังของพวกเขาถูกปลูกฝังในจิตใจด้วยปีศาจ มันคือความเกลียดชังของปีศาจที่มีต่อพระคริสตเจ้า

- ปีศาจที่ทำสิ่งเดียวที่ทำกับพระเยซูในเหตุการณ์พระมหาทรมานของพระองค์ ตอนนี้มันทำแบบนั้นกับสตีเฟ่น การต่อสู้ระหว่างพระเจ้ากับปีศาจ ได้รับการประจักษ์ชัดในการเป็นมรณสักขี ในทางกลับกัน พระเยซูทรงบอกบรรดาสาวกว่า พวกเขาจงชื่นชมยินดีเมื่อถูกเบียดเบียนข่มเหงในพระนามของพระองค์ การถูกเบียดเบียนข่มเหง, การเป็นมรณสักขี และการมอบชีวิตของตนเพื่อพระเยซูคือหนึ่งในความสุขแท้จริง (มหาบุญลาภ)

- การถูกฆ่าตายดุจมรณสักขีคือการเป็นประจักษ์พยาน เราสามารถกล่าวได้ว่า สำหรับคริสตชนแล้ว ถนนของเราคือการเป็นประจักษ์พยาน มันคือการก้าวตามพระคริสตเจ้าจนถึงการสละชีวิตของตนเองเพื่อพระองค์ พวกท่านไม่สามารถเข้าใจคริสตชนได้ถ้าปราศจากการเป็นประจักษ์พยาน พวกเรา(ศาสนาคริสต์)ไม่ใช่ศาสนาของอุดมคติ ไม่ใช่ศาสนาของเทวศาสตร์อย่างเดียว ไม่ใช่ศาสนาของสิ่งงดงาม ไม่ใช่ศาสนาของธรรมบัญญัติ ไม่เลย ไม่ใช่แบบนั้น เราคือประชากรที่ติดตามพระเยซูคริสต์ และเป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์ต่างหาก แม้บางครั้งต้องสละชีวิตของตนก็ตาม

- การตายของนักบุญสตีเฟ่นตามที่เราได้อ่านในหนังสือกิจการอัครสาวก จัดเป็นการเบียดเบียนคริสตชนครั้งร้ายแรงในกรุงเยรูซาเล็ม คนเหล่านั้นรู้สึกแข็งกร้าวและปีศาจก็ปลุกเร้าให้พวกเขาทำแบบนั้น ดังนั้น คริสตชนจึงกระจัดกระจายไปตามแคว้นยูเดียและซามาเรีย การเบียดเบียนคริสตชนทำให้พวกเราต้องกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง และทุกที่ที่เรากระจัดกระจายไป เราได้ประกาศพระวรสาร รวมถึงเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซู พันธกิจของพระศาสนจักรก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง หลายคนเริ่มกลับใจเมื่อได้ยินคำเทศนาในนามของพระเยซู มีคำพูดของผู้นำพระศาสนจักรยุคแรกเริ่มกล่าวไว้ว่า "เลือดของมรณสักขีคือเมล็ดพันธุ์ของคริสตชน อาศัยการเป็นประจักษ์พยาน พวกเขาจึงประกาศความเชื่อ"

- การเป็นประจักษ์พยานคือการเป็นทุกวันในชีวิตประจำวัน เป็นในสถานการณ์ยากลำบาก และแม้แต่เป็นในตอนที่ถูกเบียดเบียนข่มเหงและต้องตาย การเป็นประจักษ์พยานจะบังเกิดผลแน่นอน พระศาสนจักรจะบังเกิดผลเมื่อได้เห็นการเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์

- ในทางกลับกัน เมื่อพระศาสนจักรปิดตัวเอง เมื่อคิดถึงแต่ตัวเอง เมื่อเอาแต่พูดถึง "โรงเรียนศาสนา" ที่เต็มไปด้วยความคิดยิ่งใหญ่มากมาย เต็มไปด้วยโบสถ์สวยๆ เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์เจ๋งๆ แต่ไม่เป็นประจักษ์พยานถึงพระเจ้า มันก็ไร้ประโยชน์ คริสตชนก็เช่นเดียวกัน คริสตชนที่ไม่เป็นประจักษ์พยาน ก็เป็นพวกไร้ค่า

- สตีเฟ่นเป็นคนที่ได้รับการเติมเต็มจากพระจิต ส่วนเรานั้น เราไม่สามารถเป็นประจักษ์พยานถึงพระเจ้าถ้าขาดการประทับของพระจิตในตัวเรา

- วันนี้ ขอให้เราคิดถึงแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ 2 ท่าน คือ นักบุญสตีเฟ่น และคริสตชนที่ต้องลี้ภัยกระจัดกระจายเพราะการถูกเบียดเบียนด้วยความรุนแรง ขอให้เราถามตัวเองด้วยว่า "การเป็นประจักษ์พยานของเราเป็นอย่างไรกัน เราเป็นคริสตชนที่เป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซู หรือเราเป็นพวกคริสตชนตัวปลอม เราเป็นคริสตชนที่บังเกิดผลเพราะเป็นประจักษ์พยานหรือเปล่า หรือเป็นคริสตชนไร้ค่า เพราะไม่สามารถให้พระจิตนำทางกระแสเรียกชีวิตของเราได้"

Read More: Vatican Radio

Comments