โป๊ปฟรังซิส: "พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าอคติในใจมนุษย์"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงชี้ พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าอคติในจิตใจเรา เหมือนอย่างที่พระเยซูทรงทำลายอคติระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรียด้วยการขอน้ำดื่มจากหญิงชาวสะมาเรีย พร้อมกันนี้ ทรงเชิญชวนทุกคนเตรียมจิตใจร่วมงาน "24 ชั่วโมงเพื่อพระเจ้า" งานที่จัดการโปรดศีลอภัยบาป 24 ชั่วโมงของสังฆมณฑลโรม ซึ่งจะเริ่มในวันศุกร์นี้



ช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเป็นประธานในการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมกว่า 80,000 คน โดยวันนี้ พระสันตะปาปาตรัสแบ่งปันพระวรสาร ใจความว่า:

- พระวรสารวันนี้ เป็นเรื่องพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรีย เราได้ยินประโยคที่พระเยซูพูดว่า "ขอน้ำดื่มได้ไหม" ประโยคนี้แหละคือการก้าวข้ามเครื่องกีดขวางแห่งการเป็นปฏิปักษ์ที่มีอยู่ระหว่างชาวยิวกับชาวสะมาเรีย ทั้งยังเป็นการทำลายอคติต่างๆด้วย นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงทำ พระองค์ไม่กลัว เมื่อพระเยซูเห็นใครก็ตาม พระองค์จะไปหาเขาด้วยความรัก พระองค์ทรงรักเราทุกคน พระองค์ไม่เคยหยุดต่อหน้าใคร เพียงเพราะการมีอคติ

- พระเยซูไม่ได้พูดเพราะหิวน้ำอย่างหนัก แต่พระองค์รู้ดีว่าจิตวิญญาณของหญิงคนนี้กำลังกระหาย พระเยซูต้องการพบชาวสะมาเรียเพื่อเปิดใจของหญิงคนนี้ พระองค์ถามคำถามเธอง่ายๆด้วยการขอน้ำดื่ม แต่หญิงคนนี้รู้สึกประทับใจที่ได้พบพระองค์ ... พวกเราก็เช่นกัน เราก็มีคำถามมากมายที่อยากจะถามพระเยซู แต่เราขาดความกล้าที่จะไปพบพระองค์

- มหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะมองเข้าไปในตัวเราเอง ... พระเจ้าทรงความยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าอคติทั้งปวง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพระเยซูถึงไม่กลัวที่จะพูดกับชาวสะมาเรีย พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง พระเยซูคือองค์แห่งความเมตตา

- ดังนั้น ขอให้เรากลับไปค้นหาความสำคัญและความรู้สึกของชีวิตคริสตชน ขอให้เราเป็นประจักษ์พยานแก่พี่น้องของเรา จงเป็นประจักษ์พยานต่อความชื่นชมยินดีจากการที่ได้พบกับพระเยซู

หลังการภาวนาจบลง พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงพิธีในวันศุกร์หน้า ซึ่งจะมีการจัดโปรดศีลอภัยบาป 24 ชั่วโมงในสังฆมณฑลโรม และบางสังฆมณฑลทั่วโลก ชื่อของงานนี้คือ "24 ชั่วโมงเพื่อพระเจ้า" โดยเป็นงานที่เรียกร้องให้คริสตชนสำนึกในบาปผิดของตนตลอดช่วงเทศกาลมหาพรต

ประมวลภาพ: การสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว

Read More: Vatican Radio

Comments