โป๊ปฟรังซิส: "เราต้องเป็นตะเกียงที่ถูกจุด เพื่อส่องแสงพระเยซูให้กับโลก"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงย้ำ คริสตชนต้องเป็นตะเกียงที่ถูกจุดให้แสงสว่าง เพื่อจะได้ส่องแสงของพระเยซูให้กับโลก พร้อมกันนี้ ทรงเชิญชวนภาวนาให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยทุกคน โอกาสวันอังคารนี้ 11 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันฉลองแม่พระเมืองลูร์ด


ช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเป็นประธานในสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมภาวนากว่า 60,000 คน โดยวันนี้ พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า:

- พระวรสารวันนี้ พระเยซูทรงสอนเรื่องเกลือที่รักษาความเค็มและการเป็นแสงสว่างส่องโลก

- พระวาจาตอนนี้ทำให้พวกเรารู้สึก "ทึ่ง" มากๆนะ เมื่อเราพิจารณาว่าพระเยซูทรงกล่าวเรื่องนี้กับคนที่เป็น "ชาวประมง" เป็นคนธรรมดาๆ  กระนั้น พระเยซูทรงมองสิ่งที่พระองค์ทำด้วยสายพระเนตรของพระเจ้า พระวาจาตอนนี้เป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องกับเรื่องบุญลาภ กล่าวคือ ถ้าเรามีจิตวิญญาณแห่งความยากไร้, นอบน้อม, ใจบริสุทธิ์ และเมตตา เราก็จะเป็นเกลือดองโลกและเป็นแสงสว่างส่องโลก

- คริสตชนได้รับพันธกิจเกี่ยวกับมนุษยชาติ พันธกิจเกี่ยวกับความเชื่อและความรัก เราทุกคนเป็นศิษย์ธรรมทูต และเราถูกเรียกให้มาประกาศพระวาจาทรงชีวิตให้กับโลก ถ้าคริสตชนสูญเสียรสชาติ(ความเค็ม) ถ้าเราสูญเสียแสงสว่าง การดำรงอยู่ในโลกของเราก็สูญเสียประสิทธิภาพเช่นกัน

- เอาล่ะ พ่อขอถามคำถามพี่น้องซักข้อ "พวกท่านต้องการจะเป็นตะเกียงที่ถูกจุดให้แสงสว่าง" หรือ "พวกท่านต้องการเป็นตะเกียงที่ถูกดับแสงสว่าง" (จากนั้น สัตบุรุษพร้อมใจตะโกนตอบอย่างกึกก้องว่า "ต้องการเป็นตะเกียงที่ถูกจุดให้แสงสว่าง ... ต้องการเป็นตะเกียงที่ถูกจุดให้แสงสว่าง")

- ลองไปคิดดูนะว่าท่านต้องการเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นคริสตชนที่แท้จริง เป็นคริสตชนที่เป็นประจักษ์พยานถึงพระวรสาร เขาจะตอบว่า เราต้องการเป็นตะเกียงที่ถูกจุดให้แสงสว่าง เพื่อจะได้ส่องแสงของพระเยซูให้กับโลก

หลังการสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าวจบลง พระสันตะปาปาทรงกล่าวถึงวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ซึ่งพระศาสนจักรกำหนดให้เป็นวันฉลองแม่พระเมืองลูร์ด และยังเป็นวันผู้ป่วยโลกด้วย พระสันตะปาปาจึงกล่าวเชิญชวนทุกคนภาวนาให้กับผู้ป่วย เช่นเดียวกับ ภาวนาให้ผู้ที่ดูแลปฐมพยาบาลผู้ป่วยทุกคนด้วย

ประมวลภาพ: การสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว

Read More: Vatican Radio


Comments