โป๊ปฟรังซิส: "ครอบครัวของเราสวดพร้อมหน้ากันบ้างหรือเปล่า"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงหวังเห็นครอบครัวคริสตชนสวดภาวนาพร้อมกัน หากหาเวลาร่วมกันไม่ได้ ก็จงใช้เวลาก่อนทานอาหารพร้อมกันก็ยังดี ทรงเตือนสติ จงภาวนาด้วยความสุภาพถ่อมตน อย่าสวดแบบยกตนดูถูกผู้อื่น ทรงชี้ ครอบครัวคริสตชนคือ "ครอบครัวธรรมทูต" และยังต้องเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีในทุกวันของชีวิต 



ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเป็นประธานในมิสซาวันครอบครัวโลก ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน มิสซานี้จัดโดยสมณสภาเพื่อครอบครัว โอกาสปีแห่งความเชื่อ ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมกว่า 200,000 คน

ในส่วนของบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า:

- พี่น้องที่รัก วันนี้พ่อขอแบ่งปันข้อคิดที่เกี่ยวกับ "คุณลักษณะ" ของ "ครอบครัวคริสตชน"

- คุณลักษณะแรกคือ "ครอบครัวสวดภาวนาด้วยกัน" ... พระวรสารวันนี้พูดถึงการภาวนา 2 แบบ แบบแรกคือการภาวนาผิดๆแบบพวกฟาริสี และแบบที่สองคือการภาวนาของจริง ดังที่คนเก็บภาษีสวดภาวนาต่อพระเจ้า ฟาริสีภาวนาด้วยทัศนคติไม่ขอบคุณพระเจ้าจากใจ แต่เขาภาวนาเพื่อความพึงพอใจที่ตนเองมี ฟาริสีภาวนาไปแล้วก็ตัดสินคนอื่นไป ในทางกลับกัน คนเก็บภาษีภาวนาแบบสุภาพถ่อมตน สำนึกผิดว่าตนเป็นคนบาป คนเก็บภาษีคือคนที่ตระหนักว่าตนเองจำเป็นต้องได้รับการอภัยจากพระเจ้าอย่างแท้จริง การภาวนาของคนเก็บภาษีคือการภาวนาของมนุษย์ผู้ยากไร้ นี่คือการภาวนาที่เป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้า มันคือการภาวนาซึ่งขึ้นไปถึงสวรรค์ ไม่เหมือนการภาวนาแบบฟาริสีที่ถูกกดให้ต่ำลงเพราะความหยิ่งยโสของตนเอง

- พ่อจึงอยากถามครอบครัวทุกครอบครัวที่มาอยู่ที่นี่ว่า "พวกท่านสวดภาวนาพร้อมกันบ้างไหม" บางคน พ่อรู้ว่าสวดด้วยกัน แต่บางคนอาจตอบว่า การภาวนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล บางครั้ง เวลาของคนในครอบครัวก็ไม่ตรงกัน ใช่! มันก็จริง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ความสุภาพถ่อมตนและตระหนักถึงความจำเป็นที่เราต้องการพระเจ้า เราต้องภาวนาด้วยความรู้สึกเหมือนคนเก็บภาษี การสวดภาวนาขอพระบิดารอบๆโต๊ะอาหารคือสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ รวมถึงสวดสายประคำพร้อมกันในครอบครัว นี่คือสิ่งงดงามและเป็นบ่อเกิดของพละกำลังอันยิ่งใหญ่

- คุณลักษณะที่สองคือ "ครอบครัวต้องรักษาความเชื่อ" ... ในบั้นปลายของชีวิต นักบุญเปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้" (2 ทิโมธี 4:7) ว่าแต่ ท่านรักษาความเชื่อของตนเองได้อย่างไร ท่านไม่ได้รักษาความเชื่อด้วยการหลบอยู่ในเกราะกำบังแน่ๆ ไม่ใช่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเหมือนพวกคนรับใช้ผู้ขี้เกียจ แต่นักบุญเปาโลเปรียบชีวิตท่านกับนักสู้และนักวิ่ง ท่านรักษาความเชื่อเพราะท่านไม่ได้เก็บรักษาไว้เท่านั้น แต่ยังประกาศความเชื่อและนำไปมอบให้ดินแดนอันห่างไกล

- เราก็เช่นกัน เราจะรักษาความเชื่อได้อย่างไร เราเก็บความเชื่อไว้กับตัวเองใช่ไหม เก็บไว้กับครอบครัวของเรา เก็บไว้เป็นมรดกส่วนตัวเท่านั้น เรามีความสามารถพอไหมที่จะแบ่งปันความเชื่อให้ผู้อื่นด้วยการเป็นประจักษ์พยาน ด้วยการยอมรับผู้อื่น และด้วยการเปิดใจ เราคิดไหมว่า เราต้องวิ่งแข่งบนหนทางแห่งความเชื่อเหมือนนักบุญเปาโล ครอบครัวคริสตชนคือครอบครัวธรรมทูตนะ!! เราคือธรรมทูตในทุกๆวันของชีวิต เราต้องเป็นเกลือและเชื้อแป้งให้กับโลก

- สุดท้าย คุณลักษณะของครอบครัวคือ "ครอบครัวต้องมีความชื่นชมยินดี" ... บรรดาครอบครัวที่รักทุกครอบครัว พวกท่านทราบดีถึงความชื่นชมยินดีแท้จริงซึ่งเราพบได้ในครอบครัว สิ่งนี้พบได้จากความสามัคคีของคนในครอบครัว บางสิ่งที่เรารู้สึกได้ด้วยใจและทำให้เราได้พบกับความงดงามของการทำทุกสิ่งร่วมกันทำด้วยกัน กระนั้น ความรู้สึกชื่นชมยินดีจากก้นบค้งของใจมาจากการประทับของพระเจ้าในครอบครัว พระเจ้าเท่านั้นที่รู้วิธีการสร้างความสามัคคีกลมเกลียวท่ามกลางความแตกต่าง แต่ถ้าความรักของพระเจ้าขาดหายไป ครอบครัวก็จะสูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวกัน การยึดตัวเองเป็นที่ตั้งก็จะเกิดและความชื่นชมยินดีก็จะสูญสลายไป แต่ถ้าครอบครัวใดที่พบกับความชื่นชมยินดี ครอบครัวนั้นก็จะถ่ายทอดความยินดีนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ครอบครัวคริสตชนต้องเป็นเกลือดองโลกและเป็นแสงสว่างให้กับโลก ทั้งยังต้องเป็นเชื้อแป้งให้กับสังคมด้วย

หลังมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงนำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว โดยวันนี้ พระองค์เชิญชวนทุกคนสวดภาวนาขอต่อครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งนาซาเร็ธ ได้ช่วยสังคมให้รับรู้และตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ในครอบครัวของตนเองด้วย

ประมวลภาพ: มิสซาวันครอบครัวโลก

Read More: Vatican Radio


Comments