โป๊ปฟรังซิส: คริสตชนต้อง "สวดภาวนา" ไม่ใช่ "ทำเป็นสวดภาวนาต่อหน้าคนอื่น"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงแบ่งปัน คริสตชนต้อง "สวดภาวนา" จากใจต่อพระบิดา ไม่ใช่ "ทำเป็นสวดภาวนา" ในที่สาธารณะเพื่อให้คนได้เห็นแบบพวกฟาริสี ทรงชี้ให้คิด ถ้าประตูโบสถ์คาทอลิกถูกปิดพร้อมให้เหตุผลต่างๆนาๆ มันคงเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะประตูโบสถ์คาทอลิกต้องเปิดออกต้อนรับทุกคน ทรงย้ำ ถ้าพระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ มีกุญแจไขความรู้สู่พระเจ้าอยู่ในมือตนเอง แต่ไม่ไขกุญแจเพื่อเปิดประตูนำสัตบุรุษไปหาพระเจ้า มันก็เป็นเรื่องที่เลวร้ายสิ้นดี


ช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงถวายมิสซาเช้าในวัดน้อยประจำหอพักซางตา มาร์ธา โดยมิสซานี้ พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า:

- พระวรสารวันนี้ พระเยซูตำหนิพวกคนหน้าซื่อใจคดว่า "วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฏหมาย ท่านนำกุญแจไขความรู้ไป ท่านไม่เข้าไปแล้วยังขัดขวางคนที่ต้องการจะเข้าไปด้วย (ลูกา 11:52)

- พ่อขอแบ่งปันพระวรสารตอนนี้ว่า เมื่อเรายืนอยู่ที่ถนนและพบว่าตัวเรากำลังยืนอยู่หน้าโบสถ์ที่ปิด เราจะรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ บางครั้ง โบสถ์ก็ให้เหตุผลต่างๆนาๆถึงสาเหตุที่ต้องปิดประตู พวกเขาอาจจะขอโทษและบอกสาเหตุนั้น แต่ความจริงก็คือพระศาสนจักรปิดประตูและผู้คนก็ไม่สามารถผ่านเข้าออกได้

- ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ พระเจ้าไม่สามารถปิดกั้นประชากรของพระองค์ วันนี้ พระเยซูก็ตรัสกับเราถึง "กุญแจ" นี่คือ "ภาพลักษณ์ของคริสตชนที่มีกุญแจอยู่ในมือ แต่โยนมันทิ้งและไม่ไปไขประตูให้เปิดออก" แย่กว่านั้นก็คือ พวกเขายังให้ประตูมันปิดตายต่อไปและไม่ให้ใครเข้าไปข้างในด้วย ลักษณะแบบนี้คือการขาดการเป็นประจักษ์พยานคริสตชน และเมื่อคริสตชนคนนั้นเป็นพระสงฆ์ พระสังฆราช หรือเป็นตัวพระสันตะปาปาเอง มันก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก

- คริสตชนจะทำอย่างไรเมื่อเราชอบเก็บกุญแจที่จะไขเข้าไปในพระศาสนจักรไว้ในกระเป๋าของตัวเอง เราเก็บกุญแจไว้ ทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าประตูปิดอยู่ เราจะทำอย่างไรกัน

- ถ้าเราทำแบบนี้เท่ากับว่า ความเชื่อในพระเจ้าที่เรามี ได้ถูกกลั่นจนเป็นอุดมการณ์เชิงความเชื่อ ในอุดมการณ์นี้ไม่มีพระเยซูอยู่ในนั้น อุดมการณ์ความเชื่อแบบนี้ไม่มีความรัก ความสุภาพอ่อนโยน แต่มันเต็มไปด้วยความไม่ยืดหยุ่น เมื่อคริสตชนกลายเป็นผู้ติดตามอุดมการณ์แบบนี้ เขาก็สูญเสียความเชื่อแล้วล่ะ เขาจะไม่ใช่ศิษย์ติดตามพระเยซูอีกต่อไป แต่เขาจะเป็นผู้ติดตามแนวคิดของตัวเอง ความเชื่อที่เกิดจากอุดมคติจะทำให้เราเป็นคนแข็งกร้าว เคร่งจริยธรรมและศีลธรรมก็จริง แต่เราจะขาดความเมตตา

- ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงตรัสกับคนเหล่านี้ว่า "ท่านนำกุญแจไขความรู้ไป" ความรู้ของพระเยซูได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นอุดมคติและยังถูกเปลี่ยนเป็นความรู้เชิงศีลธรรม เพียงเพราะประตูที่ปิดตายเหล่านั้นที่มาพร้อมด้วยข้อเรียกร้องต่างๆนาๆ

- กุญแจที่จะเปิดประตูสู่ความเชื่อก็คือ "การสวดภาวนา" แต่กระนั้น พ่อขอเตือนว่า เมื่อคริสตชนไม่สวดภาวนา ก็เท่ากับเราปิดประตู คนที่ไม่สวดภาวนาจะเป็นคนที่หยิ่งยโส จะหลงตัวเอง มั่นใจในตัวเอง เขาจะไม่สุภาพถ่อมตน แต่ถ้าคริสตชนสวดภาวนา เขาจะอยู่ไม่ไกลจากความเชื่อ เขาจะพูดกับพระเยซู

- พี่น้องที่รัก พ่อพูดถึง "การสวด" พ่อไม่ได้ถึง "บทสวด" นะ เพราะบรรดาธรรมาจารย์ "กล่าวบทสวด" เพื่อให้ทุกคนได้เห็นได้ฟัง แต่เมื่อใดที่ท่าน "สวด" ในห้องและภาวนาต่อพระบิดาแบบส่วนตัว แบบใจถึงใจ นี่แหละคือการสวดภาวนา ส่วนอีกเรื่องที่พ่อพูดนั้น เรียกว่า "การกล่าวบทสวดภาวนา เห็นข้อแตกต่างแล้วใช่ไหมว่า เมื่อเราสวดภาวนา กับ การกล่าวบทสวดภาวนาต่างกันอย่างไร

Read More: Vatican Radio

Comments