โป๊ปฟรังซิส: "อย่านำงานของพระเจ้ามาสร้างชื่อเสียงและหาเงินให้ตัวเอง"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงเตือนสติครูคำสอนให้ยึดแม่พระเป็นแบบอย่างในหน้าที่นี้ เพราะแม่พระไม่เคยคิดนำงานของพระเจ้ามาสร้างชื่อเสียงและหาเงินทองให้ตัวเอง ดังนั้น เราต้องทำหน้าที่นี้ด้วยหัวใจและอย่าให้เงินทองมาทำลายความเป็นมนุษย์ของตน ทรงขอร้องคริสตชน อย่าดำเนินชีวิตเหมือนเศรษฐีในพระวรสารและชาวซิโยนที่ไม่ใส่ใจความทุกข์ร้อนของเพื่อนมนุษย์ 


ช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเป็นประธานในมิสซาพิเศษให้กับครูคำสอนจากทั่วโลก โอกาสปีแห่งความเชื่อ พิธีนี้จัดที่ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาร่วมกว่า 100,000 คน นอกจากนี้ มิสซานี้ยังมี "พระคุณเจ้า ยูอันนา ที่ 10" พระอัยกาแห่งพระศาสนจักรออโธด็อกซ์แห่งอันติโอ๊ก มาร่วมพิธีด้วย

สำหรับบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาตรัสสอนว่า:

- ในบทอ่านวันนี้จากหนังสือประกาศกอาโมส ระบุไว้ว่า "“วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่มีความสะดวกสบายอยู่ในศิโยน และบรรดาผู้ที่รู้สึกปลอดภัยบนภูเขาสะมาเรีย เขาทั้งหลายนอนบนเตียงงาช้าง เหยียดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว กินลูกแกะจากฝูงแพะแกะ กินลูกโคที่ขุนไว้ในคอก เขาร้องเพลงไร้สาระ ประสานเสียงพิณใหญ่ ประดิษฐ์เครื่องดนตรีใหม่ ๆ สำหรับตนเหมือนกษัตริย์ดาวิด เขาใช้ชามใหญ่ดื่มเหล้าองุ่น ใช้น้ำมันอย่างดีชโลมตัว แต่ไม่เป็นห่วงถึงความพินาศของโยเซฟ"

- นี่เป็นถ้อยคำที่รุนแรงมากๆที่ประกาศอาโมสประกาศไว้ แน่นอนว่า คำเตือนถึงอันตรายนี้ก็มีความหมายถึงเราทุกคนด้วยเช่นกัน ประกาศกอาโมสต้องการเตือนเราถึงอันตรายจากความสุขอุราและความสะดวกสบายฝ่ายโลก รวมไปถึงการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขีปรีเปรม

- เรื่องราวของประกาศกอาโมสมีความเกี่ยวข้องกับพระวรสารวันนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการเล่าถึงเศรษฐีที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพงๆและกินอยู่อย่างดี ขณะที่ชายยากจนที่หน้าประตูบ้านของเศรษฐีไม่มีอะไรจะกินเพื่อบรรเทาความหิวเลย จริงอยู่ มันไม่ใช่ธุระอะไรของเศรษฐี แต่เมื่อใดก็ตามที่วัตถุฝ่ายโลกและเงินทองได้กลายเป็นศูนย์กลางของชีวิต มันก็จะครอบงำชีวิตเรา เราจะสูญเสียอัตลักษณ์ความเป็นมนุษย์ของตัวเราเอง

- พ่ออยากให้เราลองคิดดูซักนิด ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น (ให้เงินเป็นศูนย์กลางของชีวิต) คนพวกนี้หรือจะรวมตัวเราด้วยก็ได้ จะมีบั้นปลายชีวิตอย่างไร พวกเขาจะหาความมั่นคงในวัตถุสิ่งของซึ่งได้ขโมยโฉมหน้าความเป็นมนุษย์ได้จริงหรือ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็เมื่อเราลืมพระเจ้า ถ้าเราไม่คิดถึงพระเจ้า ทุกสิ่งคงจบลงด้วยการให้ตัวเราเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เมื่อเราหลงลืมพระเจ้า เราก็จะพบแต่ความว่างเปล่าในชีวิต มันก็เหมือนกับเศรษฐีในพระวรสารนั่นเอง ดังนั้น เราทุกคนถูกสร้างจากพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า เราไม่ได้ถูกสร้างจากวัตถุเงินทอง ฉะนั้น จงให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต

- พี่น้องที่รัก จากการที่พ่อได้มองไปยังพวกท่านทุกคน พ่อกำลังคิดว่า "ครูคำสอนคือใครกัน" คำตอบคือพวกเขาคือคนที่เก็บรักษาความทรงจำของพระเจ้าให้มีชีวิตเสมอ นี่คือความงดงามที่ได้จดจำพระเจ้า ดังเช่นแม่พระผู้ที่มองเห็นงานของพระเจ้าในตัวของท่านเสมอ แต่แม่พระไม่เคยคิดนำงานของพระเจ้ามาสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ไม่เคยนำงานของพระเจ้ามาหากินสร้างเงินทองให้กับตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ แม่พระก็ไม่ได้กลายเป็นคนที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของชีวิต 

- ลองนึกดูนะ เมื่อแม่พระได้รับสารจากอัครเทวดากาเบรียล แม่พระทำอย่างไร แม่พระรีบออกจากบ้านไปช่วยเหลือนักบุญเอลิซาเบ็ธที่กำลังตั้งครรภ์ สิ่งแรกที่แม่พระทำหลังจากไปถึงบ้านของนักบุญเอลิซาเบ็ธก็คือการเตือนตนว่านี่คือแผนงานของพระเจ้า นี่คือการแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าในชีวิตของแม่พระ

- สำหรับเราคริสตชน ความเชื่อคือความทรงจำและการย้ำเตือนถึงพระวาจาของพระเจ้าในจิตใจเรา ดังนั้น ครูคำสอนคือคริสตชนที่ใส่ความทรงจำในพระวาจาของพระเจ้าไว้กับการรับใช้งานประกาศพระวรสาร ครูคำสอนไม่ใช่คนที่ยกตัวเองเป็นคนสำคัญ ต้องไม่พูดยกย่องตัวเอง แต่ต้องพูดเกี่ยวกับพระเจ้า พูดเกี่ยวกับความรักและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ครูคำสอนคือคริสตชนที่มีความใส่ใจในพระเจ้า ครูคำสอนคือคนที่ได้รับการนำทางด้วยความทรงจำที่มีต่อพระเจ้าในชีวิตของเขา และยังต้องสามารถปลุกความทรงจำนี้เข้าไปสัมผัสจิตใจคนอื่นๆด้วย

- "วิบัติแก่ซิโยน!" เอาล่ะ เราต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้ไม่เป็นคนที่เย็นชาต่อความทุกข์ของผู้อื่นและให้ความสำคัญกับวัตถุเงินทองมากกว่าพระเจ้า นักบุญเปาโลชี้แนวทางไว้แล้วในจดหมายถึงทิโมธี และนั่นก็เป็นงานของครูคำสอนด้วย งานที่ว่าคือ "จงมุ่งหน้าหาความชอบธรรม ความเคารพรักพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนโยน" (1 ทิโมธี 6:11)

- ดังนั้น ถ้าครูคำสอนมีความมั่นคง, วางใจในพระเจ้าและให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต, เป็นคนที่เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา, มองเพื่อนมนุษย์เป็นพี่น้องของตน พวกเขาก็คือชายและหญิงแห่งความทรงจำของพระเจ้า ดำเนินชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระองค์และเพื่อนมนุษย์

และหลังจากพิธีมิสซาจบลง พระสันตะปาปาทรงนำสวดทูตสวรรค์แจ้งข่าว โดยก่อนภาวนา พระสันตะปาปาทรงกล่าวต้อนรับและขอบคุณ "พระคุณเจ้า ยูอันนา ที่ 10" พระอัยกาแห่งพระศาสนจักรออโธด็อกซ์แห่งอันติโอ๊ก ที่มาร่วมพิธีด้วย

ประมวลภาพ: พระสันตะปาปาถวายมิสซาให้ครูคำสอนทั่วโลก

Read More: Vatican Radio




Comments