โป๊ปฟรังซิส: "จงรู้จักผิดชอบชั่วดี และอย่าเป็นพวกหน้าซื่อใจคด"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส พระสังฆราชแห่งกรุงโรม ทรงกระตุ้นคริสตชนให้มีสติรู้จักผิดชอบชั่วดีเป็นอย่างไร ไม่ใช่วันๆไม่แคร์ใครเลย ยึดแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ยิ่งถ้าเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือ ทำลอยหน้าลอยตา เราก็จะไม่ต่างจาก "พวกหน้าซื่อใจคด" เฉกเช่นพวกสงฆ์ในอุปมาชาวสะมาเรียผู้ใจดี นอกจากนี้ ทรงย้ำ วัฒนธรรมของความเป็นอยู่ที่ดี ทำให้เราเห็นแก่ตัวและไม่อ่อนโยนต่อเสียงร่ำไห้ของผู้อื่น สิ่งนี้ไม่ต่างจาก "ฟองสบู่" ที่ข้างนอกดูสวยงาม แต่ข้างในว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย



ช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 8 กรกฏาคมที่่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จไปถวายมิสซาที่ลัมเปดูซ่า จังหวัดอากริเจนโต้ ทางตอนใต้ของอิตาลี เพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณผู้อพยพกว่า 20,000 คน (ที่ตายในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งทั้งหมดต้องจบชีวิตกลางทะเล ระหว่างแล่นเรือจากแอฟริกามาขึ้นบกที่อิตาลี เนื่องจากหนีความอดอยากและสงคราม

สำหรับลัมเปดูซ่า ถือเป็นเมือง "หน้าด่าน" ของทวีปยุโรปในการรับชาวแอฟริกันเข้าสู่ทวีปแห่งนี้ ระยะทางจากตูนิเซียซึ่งอยู่แอฟริกาเหนือ มาถึงลัมเปดูซ่า ประเทศอิตาลี วัดได้ 113 กิโลเมตร โดยชาวแอฟริกันที่อพยพมายุโรป จะล่องเรือและลอยอยู่บนทะเลประมาณ 2 วัน จึงจะมาถึงอิตาลี กระนั้น มีผู้อพยพจำนวนมากต้องจบชีวิตกลางทะเลเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงอุบัติเหตุเรืออับปางกลางทะเล ล่าสุด ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้อพยพชาวแอฟริกันเสียชีวิตจากเหตุเรืออับปางกลางทะเล พระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงติดตามข่าวนี้จากทางหนังสือพิมพ์ พระองค์จึงตัดสินใจมาถวายมิสซาที่นี่ เพื่อร่วมเป็นทุกข์ไปกับพวกเขา

พระสันตะปาปาเสด็จทรงประทับรถยนต์จากสนามบินมายังท่าเรือลัมเปดูซ่า เพื่อต่อเรือข้ามฟากไปถวายมิสซา โดยขณะที่อยู่บนเรือ พระสันตะปาปาทรงภาวนาและโปรยดอกไม้รำลึกถึงดวงวิญญาณผู้อพยพที่เสียชีวิตตลอด 20 ปีที่ผ่านมาด้วย

ทันทีที่เรือข้ามฟากมาถึงชายฝั่ง เยาวชนมุสลิมซึ่งเป็นผู้อพยพชาวโซมาเลียและเอธิเรียได้มารอรับเสด็จพระสันตะปาปา ซึ่งพระองค์ทรงทักทายพวกเขาแบบเป็นกันเองว่า "พ่อขอขอบคุณพวกลูกที่มาต้อนรับ วันนี้ พวกเราทุกคนจะมาภาวนาให้แก่กันและกัน และเราจะภาวนาให้ผู้อพยพคนอื่นๆที่ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้ด้วย ขอบคุณมากๆ"

ขณะที่ตัวแทนเยาวชนผู้อพยพทูลพระสันตะปาปาเป็นภาษาอาราบิก โดยมีล่ามแปลเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า "ก่อนอื่น พวกผมขอกราบขอบพระคุณพระสันตะปาปามากๆที่มาเยี่ยมพวกเราในวันนี้ พวกเราอยากจะให้พระองค์ช่วยแก้ปัญหาให้เราด้วย พวกเราอพยพออกจากบ้านเกิดเพราะ 2 เหตุผลหลักๆนั่นคือ การเมืองและเศรษฐกิจ เมื่อมาถึงที่นี่สถานที่อันสงบสุข เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย พวกเราถูกพวกค้ามนุษย์จับตัวไป เมื่อเป็นเช่นนี้ มันเหมือนกับเราอยู่ในลิเบียก็ว่าได้ เราต้องทนทุกข์สาหัสสากรรจ์ เราอยากจะให้พระสันตะปาปาช่วยพวกเราที่ต้องทนทุกข์มานานตั้งแต่มาถึงที่นี่ เราอยากจะให้ประเทศอื่นๆช่วยเหลือพวกเราด้วยเช่นกัน พวกลูกขอขอบพระคุณพระสันตะปาปาและขอบคุณพระเจ้า พวกเราถูกบีบให้ต้องอยู่ในอิตาลีเพราะอิตาลีมีผู้อพยพจำนวนมาก ประเทศอื่นๆไม่ยอมรับเรา พวกเราจึงต้องอยู่ที่นี่ พวกเราจึงอยากให้ประเทศอื่นๆช่วยเหลือพวกเราด้วย"

ลำดับถัดไป พระสันตะปาปาทรงประทับรถโป๊ปโมบิลและทักทายทุกคน จากนั้นพระองค์ได้เริ่มถวายมิสซา ซึ่งบทเทศน์ประจำมิสซานี้ พระสันตะปาปาตรัสกับผู้อพยพชาวแอฟริกันและชาวบ้านในลัมเปดูซ่าที่มาร่วมพิธีกว่า 10,000 คน ใจความว่า:

- "ผู้อพยพจำนวนมากเสียชีวิตกลางทะเล เพราะเรืออับปาง" นี่คือพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ที่พ่อได้อ่านเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน พ่ออ่านข่าวนี้ซ้ำๆและคิดทบทวนหลายสิ่งเป็นเวลานาน พ่อคิดถึงหัวใจที่ต้องทนทุกข์ของผู้อพยพเหล่านี้ และนั่นทำให้พ่อตัดสินใจมาที่นี่ในวันนี้ มาเพื่อแสดงให้เห็นว่า พ่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกท่านทุกคน

- พ่อมาที่นี่ เพื่อ "ปลุกความรู้ผิดชอบชั่วดี" (ของคนในสังคม) ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระนั้น พ่อขอขอบคุณชาวบ้านลัมเปดูซ่าและลิโนซ่าด้วยใจจริง ขอบคุณบรรดาอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้ปฏิบัติหน้าที่และเอาใจใส่ให้สถานการณ์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น

- เช้าวันนี้ แสงสว่างของพระวาจาพระเจ้าที่เราได้ยินไปเมื่อครู่นี้ พ่ออยากจะกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง "เพื่อปลุกสติรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราทุกคน" และเพื่อกระตุ้นพวกเราให้ไตร่ตรองและเปลี่ยนแปลงทัศนคติเสียใหม่

- พระวาจาวันนี้ พระเจ้าตรัสถามว่า "อาดัม เจ้าอยู่ไหน" นี่คือประโยคแรกถามเมื่อมนุษย์ทำบาป ... เช่นเดียวกัน พระเจ้าตรัสถามว่า "กาอิน น้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน" ทั้งสองตัวอย่างคือความฝันของมนุษย์ที่ต้องการจะเป็นใหญ่ ต้องการตีตนเสมอพระเจ้า แต่มันนำไปสู่สายป่านแห่งความผิดพลาด สายป่านแห่งความตาย ซึ่งลงท้ายด้วยการฆ่าน้องชายของตัวเอง

- ทั้งสองเรื่องนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน พวกเราหลายคน "แม้แต่ตัวของพ่อเอง" ก็ทำเป็นไม่สนใจ เราไม่ได้ใส่ใจโลกที่เราอยู่อาศัย เราไม่แคร์ใครเรา เราไม่ปกป้องสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่สามารถที่จะเอาใจใส่ผู้อื่นได้เลย และเมื่อเราไม่ใส่ใจใคร ไม่สนใจผู้อื่น เราก็เดินมาถึงโศกนาฏกรรมดังเช่นที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้

- "ไหน น้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน" เสียงของเลือดที่กรีดร้องออกมานี้ พระเจ้าตรัสถามเราแต่ละคน นี่ไม่ใช่คำถามที่จะถามคนอื่น แต่มันคือคำถามที่ถามตัวพ่อเอง และพระเจ้าก็ถามพวกท่านแต่ละคนด้วย

- พี่น้องของเราเหล่านี้ได้เสาะหาหนทางที่จะหนีจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพื่อที่จะค้นพบความสงบและสันติสุขเล็กๆ พวกเขาเสาะหาที่อยู่ที่ดีกว่าเดิม เพื่อครอบครัวของเรา แต่แล้ว พวกเขาต้องพบกับความตาย!

- ทุกวันนี้ ไม่มีใครในโลกรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านี้เลย พวกเราได้สูญเสียความรู้สึกของการร่วมรับผิดชอบต่อการเป็นพี่น้องกันไปแล้ว พวกเราได้ตกอยู่ในสภาพการเป็น "คนหน้าซื่อใจคด" ไปแล้ว เรากลายเป็นพระสงฆ์และบรรดาผู้รับใช้ในพระวิหารที่พระเยซูกล่าวถึงในเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีกันไปเรียบร้อย

- เรามองพี่น้องที่กำลังจะเสียชีวิตอยู่บนท้องถนน ด้วยความคิดว่า "บางที ไอ้คนนี้ก็เป็นแค่คนจนๆคนหนึ่ง" และเราก็เดินทางไปต่อโดยไม่สนใจคนที่กำลังจะตาย เราคิดแบบนั้นเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของเรา เรารู้สึกเฉยๆกับเรื่องเหล่านี้ เรารู้สึกเฉยๆยังงั้นหรือ?

- วัฒนธรรมของความเป็นอยู่ที่ดีได้ทำให้เราคิดถึงแต่ตัวเอง ทำให้เราเห็นแก่ตัว!! ทำให้เราไม่อ่อนโยนต่อเสียงร่ำไห้ของผู้อื่น มันทำให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในฟองสบู่ที่ดูสวยงามเหลือเกิน แต่แท้จริงแล้ว ข้างในว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มันเป็นภาพลวงตาที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี มันเป็นภาพลวงตาแบบชั่วครั้งชั่วคราวที่ทำให้เราไม่สนใจผู้อื่น

- วัฒนธรรมของความเป็นอยู่ที่ดี ทำให้ความรู้สึกไม่แคร์ผู้อื่นแพร่หลายไปทั่วโลก (Globalization of Indifference) ในโลกของโลกาภิวัฒน์ (แพร่หลายไปทั่วโลก) เราได้ตกอยู่สภาพเหล่านี้ไปแล้ว เราเฉยชาต่อความทุกข์ทรมานของผู้อื่นไปแล้ว มันไม่เกี่ยวกับเราเลย มันไม่ใช่เรื่องของเราแม้แต่น้อย เราจะไปแคร์มันทำไม!! เราคิดแบบนี้กันใช่ไหม??

- ตอนนี้ เราอยู่ในสังคมที่ "ลืม" การคร่ำครวญร้องไห้เมื่อเห็นคนๆหนึ่งต้องทนทุกข์ทรมานไปแล้ว เพราะความรู้สึกที่ไม่ต้องไปแคร์ใครซึ่งแผ่ขยายไปทั่วโลกนี้แหละที่ทำให้เราเป็นแบบนี้

- ดังนั้น ขอให้เราวอนขอพระเจ้า ช่วยเราให้รู้สึกทุกข์โศกและร้องไห้ออกมาต่อความรู้สึกที่ไม่ต้องไปแคร์ใครซึ่งแผ่ขยายไปทั่วโลก ขอให้เราร้องไห้และเป็นทุกข์ต่อการกระทำที่โหดร้ายในโลก ในตัวเราเอง และในสังคม

- ข้าแต่พระเจ้า พวกลูกขออภัยโทษต่อความรู้สึกที่ไม่สนใจผู้อื่น พวกลูกขอโทษต่อการที่พวกลูกไม่เคยแคร์เพื่อนพี่น้อง พวกลูกขออภัยโทษแทนเพื่อนพี่น้องที่ยังพอใจต่อวัฒนธรรมของความเป็นอยู่ที่ดี อันทำให้หัวใจของพวกเขา "ด้านชา" ด้วยเถิด

ประมวลภาพ: พระสันตะปาปาถวายมิสซาที่ลัมเปดูซ่า

Read More: Vatican Radio

Comments